เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านบล็อกโพสต์ว่า จะยังคงผลักดันให้เพิ่มขีดความสามารถของ Layer-1 (L1) แม้ว่าเครือข่ายจะมุ่งไปสู่การใช้ Rollup เป็นหลัก
เขาให้เหตุผลว่าการเพิ่ม Gas Limit ของ Ethereum ยังคงจำเป็น แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการปรับเพิ่มจาก 30 ล้านเป็น 36 ล้านแล้วก็ตาม การเพิ่ม Gas Limit จะช่วยให้ธุรกรรมต่อบล็อกมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เช่น การเพิ่มขึ้นของ “Ethereum State” ซึ่งทำให้การรัน Full Node มีความซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้น
เพราะถ้าหากต้นทุนในการรัน Node สูงเกินไป อาจส่งผลให้มีผู้ใช้งาน Full Node น้อยลง และนำไปสู่การพึ่งพาผู้ให้บริการแบบรวมศูนย์มากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับหลักการกระจายศูนย์ของ Ethereum
แม้ว่ากลยุทธ์ระยะยาวของ Ethereum จะให้ความสำคัญกับ Layer-2 (L2) ในการจัดการธุรกรรมเป็นหลัก แต่ Buterin เชื่อว่าการเพิ่ม Gas Limit ของ L1 ยังมีความสำคัญต่อการต่อต้านการเซ็นเซอร์ การทำงานร่วมกันระหว่าง L2 และฟังก์ชันด้านความปลอดภัย โดยเขาชี้ว่า Ethereum L1 ควรมีค่าธรรมเนียมต่ำและพื้นที่เพียงพอสำหรับการทำธุรกรรมฉุกเฉิน หาก L2 มีการบล็อกธุรกรรมของผู้ใช้จำนวนมาก
นอกจากนี้ เขายังเตือนถึงความเสี่ยงหาก L2 ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้หลายล้านคนล่มสลาย ในสถานการณ์ดังกล่าว Ethereum อาจไม่สามารถรองรับการถอนเงินออกจาก L2 ได้ทั้งหมด โดยการคำนวณเบื้องต้นของเขาชี้ว่า Ethereum อาจต้องขยายขนาดขึ้นราว 9 เท่าเพื่อรองรับเหตุการณ์ดังกล่าว
อีกหนึ่งปัญหาที่ Buterin กล่าวถึงคือข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันระหว่าง L2 โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำและ Non-Fungible Tokens (NFTs) ซึ่งมักต้องโอนผ่าน L1 ทำให้มีค่าธรรมเนียมสูงเกินไป เขาคาดว่า Ethereum อาจต้องขยายขนาดขึ้นราว 5.5 เท่าเพื่อให้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ลดลงสู่ระดับที่ยอมรับได้
นอกจากนี้ เขายังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ ERC-20 บน L2 หาก L2 ถูกโจมตีผ่านกลไกการอัปเกรดโครงสร้างการกำกับดูแล อาจส่งผลให้มีการสร้างโทเค็นจำนวนมหาศาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบนิเวศโดยรวม ดังนั้น การรักษาการออกโทเค็น ERC-20 ไว้บน L1 จะช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีลักษณะนี้
ปัจจุบัน Ethereum ยังคงเผชิญกับปัญหาค่าธรรมเนียม Gas ที่สูงและความแออัดของเครือข่าย ซึ่งส่งผลให้ค่าธรรมเนียมลดลงและรายได้ของเครือข่ายลดลง โดยเมื่อไม่นานมานี้ รายได้ค่าธรรมเนียมของ Ethereum Mainnet ลดลงต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน
ในขณะที่การอัปเกรดครั้งใหญ่ครั้งต่อไปของ Ethereum อย่าง Pectra คาดว่าจะเปิดตัวในวันที่ 8 เมษายนนี้ โดยหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มจำนวน “Blobs” หรือแพ็กเกจข้อมูลขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ L2 จาก 3 เป็น 6 ต่อบล็อก นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบโหวตจาก Staker มาใช้ในการกำหนดค่าพารามิเตอร์บางอย่างของเครือข่าย เช่นเดียวกับที่ Validator ปัจจุบันลงคะแนนเพื่อปรับ Gas Limit ของเครือข่าย
ที่มา: Cointelegraph