Charles Hoskinson ผู้ก่อตั้ง Cardano ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ว่า แม้โปรเจกต์ของเขาจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมจริง ๆ แต่กลับถูกมองข้าม และถูกล้อเลียนจากคนในวงการคริปโตอยู่ตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่โอกาสสำคัญอย่าง Bitcoin DeFi กำลังเปิดกว้าง ซึ่ง Hoskinson เชื่อว่า Cardano มีศักยภาพสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นแกนกลางของโลก DeFi บน Bitcoin ได้ ด้วยเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและระบบนิเวศที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม Charles Hoskinson เตือนว่า Cardano อาจพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป หากยังขาดผู้นำ หรือเสียงที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนโปรเจกต์และสื่อสารกับโลกภายนอก
ปัจจุบันมีหลายโปรเจกต์ที่เริ่มก้าวหน้าแล้ว เช่น Minswap ที่กำลังเตรียมเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อดึงสภาพคล่องมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เข้ามา รวมถึง USDM และกระเป๋าเงิน Lace Wallet ที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญต่ออนาคตของ Cardano
Charles Hoskinson ยอมรับว่าปัญหาใหญ่ที่ Cardano กำลังเผชิญอยู่คือ “การจัดการที่ไม่ดี” เขาเปิดเผยผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ว่า ตอนนี้ Cardano ขาดทิศทางการบริหารที่ชัดเจน และไม่มีโครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งพอ จะผลักดันวิสัยทัศน์ให้เป็นจริงได้
แม้ตัวเขาเองจะพยายามเข้ามาทำหน้าที่นี้ แต่ก็ต้องเจอกับแรงต้านมากมาย ทั้งการโจมตีส่วนตัว และการถูกกล่าวหาว่าขโมยเหรียญ ADA ซึ่งเขายอมรับว่า เรื่องเหล่านี้ทำให้เขาทั้งเหนื่อย และต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลในการรับมือ
แม้จะมีอุปสรรค แต่บริษัทของเขา Input Output Global (IOG) ก็ยังเดินหน้าผลักดัน Cardano อย่างต่อเนื่อง และมีแผนที่จะฟื้นโครงสร้างภายใน ในช่วงงานประชุม Rare Evo ที่จะถึงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงรัฐธรรมนูญของระบบ จัดการปัญหาด้านธรรมาภิบาล รวมถึงการตั้งกองทุน Sovereign Wealth Fund เพื่อหนุนโครงการ Bitcoin DeFi ในอนาคต แต่สิ่งที่ยังขาดคือ “ผู้นำที่สามารถส่งเสียงให้โลกฟังได้”
ในส่วนของราคาเหรียญ ADA ในตลาด ตอนนี้ราคายังคงลดลงกว่า 35% ตั้งแต่ต้นปี แต่หากมองในภาพรวมรายปีแล้ว ราคา ADA ยังคงบวกอยู่ประมาณ 56%
ปัจจุบันมีเหรียญ ADA หมุนเวียนอยู่ในระบบแล้วกว่า 35,360 ล้านเหรียญ จากจำนวนทั้งหมด 45,000 ล้านเหรียญ ซึ่งหมายความว่า ยังมีเหรียญเหลืออีกจำนวนมากพอที่จะกดดันราคาได้ หากความต้องการซื้อไม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ADA ยังมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า Bitcoin ที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 0.82% นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อราคา ADA
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Cardano วางแผนที่จะนำเหรียญ ADA ที่อยู่ในคลังของตัวเองประมาณ 5-10% หรือราว 140 ล้าน ADA ไปแลกเป็น Bitcoin (BTC) หรือ Stablecoin โดยจะใช้วิธี TWAP (Time-Weighted Average Price) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับที่ Michael Saylor ใช้ในการซื้อ BTC เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความผันผวนของตลาด
Cardano หวังว่ากำไรที่จะได้จาก Bitcoin หรือ Stablecoin ในอนาคต จะสามารถนำกลับมาซื้อ ADA คืน เพื่อช่วยพยุงราคาเหรียญในระยะยาวได้
Hoskinson ปิดท้ายด้วยความหวังว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน และ Cardano มีพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งเพียงพอ โอกาสที่ Cardano จะก้าวขึ้นเป็น แกนหลักของ Bitcoin DeFi ก็อาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ที่มา : coinpedia

