<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สหราชอาณาจักร ‘เอาจริง’ ดัน DLT-Tokenization! ปูทางสู่ ‘ฮับคริปโต’ เปิดรับนวัตกรรมชำระเงินเต็มรูปแบบ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมาว่า มีความตั้งใจที่จะเปิดทางให้ตลาดค้าส่ง (wholesale market) สามารถนำเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology หรือ DLT) และโซลูชันด้าน Tokenization มาปรับใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นในการผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางด้านคริปโต

เอกสารนโยบายที่เผยแพร่โดยกระทรวงการคลังของประเทศระบุว่า สหราชอาณาจักรต้องการให้มีการนำเทคโนโลยี DLT ซึ่งเป็นรากฐานของคริปโต มาประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่างๆ ของตลาดการเงินค้าส่ง และจะมีการจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือข้ามตลาด (cross market groups) เพื่อ “ผลักดันให้เกิดการใช้งานจริง” แผนการดังกล่าวยังรวมถึงการสร้างกรอบการกำกับดูแลสำหรับเทคโนโลยีคริปโต ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่แล้ว โดยเห็นได้จากการที่รัฐบาลได้เผยแพร่ร่างกฎหมายสำหรับผู้ออกเหรียญ Stablecoin และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

กระทรวงการคลังยังระบุเพิ่มเติมว่า “ในด้านการชำระเงินดิจิทัลสำหรับตลาดค้าส่งนั้น รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลพร้อมเปิดรับข้อเสนอที่สร้างนวัตกรรมต่อยอดจากรูปแบบการชำระเงินที่มีอยู่เดิม เช่น เงินฝากในรูปแบบโทเคน (tokenised deposits) รวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ อย่าง Stablecoin ด้วย” รัฐบาลต้องการที่จะช่วยให้ภาคส่วนนี้สามารถทดสอบโซลูชันที่แปลงสินทรัพย์ทางการเงินให้อยู่ในรูปแบบโทเคน และช่วยให้กระบวนการหลังการซื้อขาย (post trade) เป็นดิจิทัลมากขึ้น

นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักรจะทำการทดสอบการใช้ Stablecoin ควบคู่ไปกับโซลูชันการชำระเงินอื่นๆ ภายใน ‘Digital Securities Sandbox’ หรือกระบะทรายเพื่อทดลองนวัตกรรมด้านหลักทรัพย์ดิจิทัล การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี Tokenization ทั่วโลก โดยรายงานช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จาก RedStone, Gauntlet และ RWA.xyz ระบุว่า ตลาดการแปลงสินทรัพย์ในโลกจริงให้เป็นโทเคน (RWA Tokenization) ทั่วโลกได้เติบโตขึ้นถึง 380% ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี และมีมูลค่าแตะ 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนนี้ ซึ่งท่าทีเชิงรุกของสหราชอาณาจักรในครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศกำลังวางตำแหน่งตัวเองเพื่อเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินในยุคดิจิทัล

ที่มา: coindesk