Tether ผู้ออกเหรียญ Stablecoin รายใหญ่ที่สุดของโลก ได้สร้างความฮือฮาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้วยการประกาศอายัดเหรียญ USDT มูลค่า 85,877 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงกับเงินที่ถูกโจรกรรม โดยเป็นการผนึกกำลังกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย การเคลื่อนไหวนี้ ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงครั้งใหม่ถึงบทบาทของ Stablecoin แบบรวมศูนย์ในการควบคุมและการปฏิบัติตามกฎระเบียบของโลกคริปโต
แม้การอายัดครั้งล่าสุดนี้ จะมีมูลค่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับการดำเนินการครั้งก่อน ๆ ของ Tether แต่ก็เป็นการตอกย้ำถึงแนวโน้มการเข้าแทรกแซงของบริษัทที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Tether เปิดเผยว่า พวกเขาได้อายัด USDT ไปแล้วกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย พร้อมทั้งบล็อกกระเป๋าเงินไปแล้วกว่า 2,090 ใบ โดยทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการประสานงานจากหน่วยงานทั่วโลก
Stablecoin อย่าง USDT แตกต่างจากคริปโตที่กระจายอำนาจอย่างแท้จริง เช่น Bitcoin และ Ethereum ตรงที่สามารถถูกควบคุมและอายัดได้โดยผู้ออกเหรียญ เช่น Tether ซึ่งมีอำนาจแทรกแซงผ่านสัญญา Smart Contract ในระดับโปรโตคอล
จุดนี้ทำให้ Tether สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างการแฮ็ก การหลอกลวง หรือแรงกดดันทางกฎหมายได้รวดเร็ว เช่น ในเดือนพฤศจิกายน 2023 Tether ได้อายัด USDT มูลค่า 225 ล้านดอลลาร์จากกระเป๋าเงินที่เชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในเดือนมิถุนายน 2025 ก็ได้ดำเนินการกับกระเป๋าเงิน 112 ใบที่ถือครอง USDT ราว 700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์กรในอิหร่านเพื่อสนับสนุนการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
Paolo Ardoino ซีอีโอของ Tether ระบุว่า ความสามารถในการติดตามธุรกรรมและอายัดเหรียญทำให้ Tether แตกต่างจากเงินเฟียตทั่วไปและสินทรัพย์แบบกระจายอำนาจ พร้อมย้ำว่า Tether ให้ความสำคัญกับบทบาทในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงิน และจะร่วมมือกับหน่วยงานทั่วโลกต่อไป
อย่างไรก็ตาม อำนาจที่รวมศูนย์เช่นนี้ทำให้เกิดข้อกังวลในหมู่ชุมชนคริปโต โดยบางคนมองว่า Stablecoin อาจกลายเป็นเครื่องมือของรัฐ คล้ายกับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ซึ่งอาจขัดกับหลักการกระจายอำนาจที่เป็นหัวใจของคริปโต ผู้ใช้โซเชียลบางรายถึงขั้นตั้งคำถามว่า USDT ยังเป็น Stablecoin อยู่หรือกลายเป็น CBDC ไปแล้วกันแน่ ขณะที่บางส่วนก็มองว่า ความสามารถในการอายัดเช่นนี้คือข้อได้เปรียบด้านความปลอดภัยที่จำเป็นในโลกการเงินดิจิทัลยุคใหม่
ที่มา:cointelegraph

