<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

‘ทองคำ-เงิน-แพลทินัม’ พุ่งแรงแซง Bitcoin ในปี 2025 ขึ้นแท่น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ ยอดนิยมของนักลงทุน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในปี 2025 ทองคำยังคงครองตำแหน่งสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับต้น ๆ ของโลก โดยราคาพุ่งขึ้นกว่า 44% แตะ 3,784 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดใหม่ แต่สิ่งที่น่าจับตามองไม่ใช่เพียงแค่ทองคำเท่านั้น เพราะโลหะมีค่าอื่น ๆ อย่าง เงิน แพลทินัม และพาลาเดียม ต่างก็ทำผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน

เงิน (Silver) ทำสถิติใหม่ด้วยการปรับขึ้นกว่า 53% แตะ 44.32 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แพลทินัม (Platinum) ทะยานขึ้นแรงถึง 60% แตะ 1,452 ดอลลาร์ ส่วนพาลาเดียม (Palladium) ก็ขยับขึ้นกว่า 33% แตะ 1,207 ดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากหันมาสนใจตลาดโลหะมีค่ามากขึ้น

ในทางกลับกัน บิทคอยน์ (BTC) ซึ่งถูกยกให้เป็น “ทองคำดิจิทัล” กลับไม่สามารถวิ่งตามทัน โดยปีนี้ราคาปรับขึ้นเพียง ราว 20% อยู่ที่ประมาณ 113,000 ดอลลาร์ ถือว่าตามหลังโลหะมีค่าตัวอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

หนึ่งในปัจจัยหลักที่หนุนให้ทองคำและโลหะมีค่าพุ่งแรง คือการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก โดยปัจจุบันมีการถือครองทองคำรวมกว่า 36,000 ตัน ตามข้อมูลจากธนาคารกลางยุโรป แนวโน้มการสะสมทองเริ่มตั้งแต่ช่วงโควิด-19 และยิ่งชัดเจนมากขึ้นหลังเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 ซึ่งสร้างแรงกดดันเงินเฟ้ออย่างหนัก

ตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางได้เพิ่มการถือครองทองคำมากกว่า 1,000 ตันต่อปี ซึ่งถือเป็นสถิติสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงสิบปีก่อนหน้า สิ่งนี้ตอกย้ำว่าทองคำยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์สำรองที่เชื่อถือได้

ในขณะเดียวกัน บิทคอยน์ยังไม่ได้รับการยอมรับจากธนาคารกลางให้บรรจุเป็นสินทรัพย์สำรอง อีกทั้งยังถูกกดดันจากแรงขายของกระเป๋าเก่าที่ทยอยทำกำไรเมื่อราคายืนเหนือ 110,000 ดอลลาร์ ส่งผลให้แรงหนุนจากกระแส ETF ไม่เพียงพอที่จะผลักดันราคาไปข้างหน้า

เมื่อมองภาพรวมแล้ว ปี 2025 อาจเรียกได้ว่าเป็น ปีทองของโลหะมีค่า ที่กลับมาได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้ง และแม้บิทคอยน์จะยังคงมีบทบาทในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” แต่ก็ยังไม่สามารถเบียดเข้ามาแทนที่โลหะจริงในฐานะที่หลบภัยหลักของนักลงทุนได้ในตอนนี้

ในขณะที่รายงาน ราคา  Bitcoin กำลังซื้อขายอยู่ที่  112,480 ดอลลาร์ ลดลง 0.61% อ้างอิงข้อมูลจาก coinmarketcap

ลิงก์ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา  : coindesk