รายงานล่าสุดจาก DeFiLlama ทำให้โลกการเงินดิจิทัลต้องหันมาจับตา เมื่อ Hyperliquid โปรโตคอลเทรดอนุพันธ์แบบกระจายศูนย์ กลายเป็นบริษัทที่สร้างรายได้ต่อพนักงานสูงที่สุดในโลก ด้วยตัวเลขเฉลี่ยต่อหัวสูงถึง 102.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั้งที่มีทีมงานเพียง 11 คนเท่านั้น ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนพลังของโครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยโค้ดและระบบอัตโนมัติ แต่ยังทิ้งห่างยักษ์ใหญ่สายเทคโนโลยีดั้งเดิมแบบไม่เห็นฝุ่น
ในลำดับถัดมา Tether ผู้ออกเหรียญ USDT stablecoin ก็ตามมาติด ๆ ด้วยรายได้ต่อพนักงานเฉลี่ย 93 ล้านดอลลาร์ แม้จะมีเพียงราว 50 คนในทีม แต่กำลังถูกประเมินมูลค่าที่สูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ หากดีลนี้สำเร็จจริง จะทำให้ Tether กลายเป็น “ธนาคาร” ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก และมีมูลค่าสูงกว่า Goldman Sachs ถึงสองเท่า ภาพนี้ยิ่งตอกย้ำบทบาทของ stablecoin ในฐานะ “ดอลลาร์แห่งอินเทอร์เน็ต” ที่ถูกใช้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง
สิ่งที่ทำให้ผู้สังเกตการณ์ประหลาดใจมากยิ่งขึ้นคือ การเปรียบเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ Apple มีรายได้ต่อพนักงานเพียง 2.4 ล้านดอลลาร์, Meta อยู่ที่ 2.2 ล้านดอลลาร์ และแม้แต่ Nvidia ที่กำลังรุ่งเรืองจาก AI ก็ยังทำได้เพียง 3.6 ล้านดอลลาร์ต่อหัว เมื่อเทียบกับ Hyperliquid หรือ Tether ตัวเลขเหล่านี้แทบจะเป็นคนละโลก
โมเดลการดำเนินธุรกิจของคริปโตแสดงให้เห็นชัดว่า “คน” ไม่ใช่ตัวแปรหลักในการขยายขนาดธุรกิจอีกต่อไป แต่คือโค้ดที่รันได้ตลอดเวลาแบบไร้ศูนย์กลาง Hyperliquid สามารถสร้างกำไรกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีโดยไม่มีทีมขาย ในขณะที่ Tether ผลิตสภาพคล่องให้ตลาดโลกในทุกนาทีโดยแทบไม่ต้องอาศัยบุคลากรจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับความกังวล หลายฝ่ายเตือนว่าการมีพนักงานจำนวนน้อยในองค์กรที่ถือสินทรัพย์หรือสร้างรายได้มหาศาล อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เช่น single point of failure หรือการขาดระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่เพียงพอ การตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและการตรวจสอบจึงยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม
ที่มา: @j0hnwang

