นักวิจัยจาก HSBC ธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้สร้างความฮือฮาในวงการการเงิน เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในการนำ “ควอนตัมคอมพิวเตอร์” มาทดลองใช้กับ Algorithmic Trading หรือระบบซื้อขายหลักทรัพย์แบบอัตโนมัติ
ในการทดลองนี้ HSBC ได้ใช้ quantum computer processor หรือชิปประมวลผลที่ใช้หลักการของฟิสิกส์ควอนตัมในการทำงาน เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่า คำสั่งซื้อขายพันธบัตรนอกตลาด (OTC bond) มีโอกาสที่จะสำเร็จตามราคาที่กำหนดไว้ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าทึ่ง เพราะความแม่นยำในการทำนายราคา และการดำเนินการคำสั่งซื้อขาย เพิ่มขึ้นถึง 34% แถมยังไม่มีปัญหาเรื่องราคาคลาดเคลื่อน (Slippage) ให้กังวลเลย
Philip Intallura หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีควอนตัมของ HSBC กล่าวว่า
“ผลการทดลองที่น่าพอใจบนฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีอยู่ในตอนนี้ ทำให้เรามั่นใจว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลสำหรับวงการการเงิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป”

สัดส่วนของอุปทาน Bitcoin ที่อาจได้รับผลกระทบจากการโจมตีของคอมพิวเตอร์ควอนตัม ที่มา: Cointelegraph
การถกเถียงเรื่อง “Q-Day”: ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเจาะระบบคริปโตได้เมื่อไร?
นักพัฒนาบล็อกเชนทั่วโลกยังคงถกเถียงกันถึงสิ่งที่เรียกว่า “Q-Day” หรือวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะทรงพลังมากพอที่จะเจาะระบบเข้ารหัสที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันได้จริง บางคนเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดภายใน 5 ปี หรือราวปี 2030 ขณะที่อีกหลายฝ่ายมองว่า น่าจะไปถึงราว ๆ ปี 2035
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชื่อดังอย่าง Adam Back ซีอีโอของ Blockstream กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่ากว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์จะสามารถเจาะระบบคริปโตได้จริง อาจต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี หรืออาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยก็ได้
กระแสความกังวลเรื่องนี้ปะทุขึ้นอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2024 เมื่อทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ประกาศว่า พวกเขาสามารถใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเจาะระบบเข้ารหัสได้จริง แต่เมื่อตรวจสอบเชิงลึก ก็พบว่า เครื่องดังกล่าวสามารถเจาะได้เพียงคีย์เล็ก ๆ ขนาด 22 บิต เท่านั้น ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่เคยเจาะคีย์ได้สูงถึง 892 บิต
ในความเป็นจริงแล้ว ระบบเข้ารหัสมาตรฐานที่เราใช้กัน เช่น RSA มักใช้คีย์ขนาด 2,048 บิต ไปจนถึง 4,096 บิต และยังสามารถเพิ่มความยาวของคีย์ได้เรื่อย ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยต่อการโจมตีของควอนตัมคอมพิวเตอร์ในอนาคต ทำให้ “Q-Day” ยังเป็นเพียงเรื่องที่ถกเถียงและเฝ้าระวัง มากกว่าจะเป็นภัยคุกคามที่ใกล้ตัวในตอนนี้
ที่มา : cointelegraph

