เมื่อ 25 ปีที่แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่ ภาคการลงทุนถูกถล่มอย่างรุนแรงจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลกและรู้จักกันในชื่องของ “ฟองสบู่ดอตคอม” แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่านักลงทุนจะยังไม่เข็ดและกำไรทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ผ่านบริษัทที่ถือครองคริปโตเคอร์เรนซี
Ray Youssef ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มกู้ยืมแบบ P2P NoOnes app เปิดเผยว่าในขณะนี้ นักลงทุนกำลังมีตรรกะและจิตวิทยาในการลงทุน เหมือนกับช่วงฟองสบู่ดอตคอม เห็นได้จากการลงทุนอย่างบ้าคลั่งในคริปโต, DeFi , Web3 ไม่ต่างอะไรกับยุคสมัยครั้นเมื่ออินเทอร์เน็ตได้ถือกำเนิด

Youssef คาดการณ์ว่า บริษัททุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล (DATs) ส่วนใหญ่จะต้องทำการบังคับขายสินทรัพย์ที่ซื้อมาเพื่อเอาตัวรอด และจุดชนวนให้เกิดขาลงรอบถัดไปของตลาดคริปโต โดยที่จะมีบางบริษัทเท่านั้นที่จะรอดและกว้านซื้อคริปโตในราคาถูกได้เพิ่ม
ในการที่บริษัทต่างๆ จะเอาตัวรอดได้ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการความเสี่ยงในช่วงขาลงของสินทรัพย์ให้อย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การลดภาระหนี้สินของบริษัทจะช่วยลดโอกาสในการล้มละลายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน บริษัทที่เข้าใจในธรรมชาติของวัฏจักรคริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิทอคยน์จะเลือกที่จะชำระหนี้ด้วยกำหนดระยะเวลา 5 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่พวกเขาจะประสบปัญหาการเงินมากที่สุดในขณะที่ตลาดยังคงเป็นขาลง หมายความว่ายิ่งบริษัทมีการเตรียมตัวมากเท่าไรโอกาสที่จะล้มก็จะลดลงตาม
แต่ทั้งนี้ แม้จะเตรียมตัวมาดีก็ยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะล้มได้เช่นกัน หากรายได้หลักของบริษัทไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่นี้ ทำให้นักลงทุนต้องมาวิเคราะห์กันอีกว่าบริษัทได้ที่สามารถสร้างคุณค่าและรายได้ด้วยตนเอง และบริษัทได้ที่มีมูลค่าสูงเกินจริงเพียงเพราะลงทุนในคริปโต
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทรนด์การจัดตั้งทุนสำรองคริปโตเป็นที่แพร่หลาย แต่ละบริษัทจึงมีแนวทางการจัดเก็บสินทรัพย์ที่ต่างกันออกไป ซึ่งข้อมูลได้เผยให้เห็นว่าบิทคอยน์ยังคงเป็นทางเลือกหลักสำหรับบริษัท ตามมาด้วย Ethereum และ Altcoins

แต่ไม่ว่าบริษัทจะลงทุนในเหรียญใดก็พบกับความเสี่ยงที่ต่างกัน โดยหากลงทุนในบิทคอยน์นอกจากจะใช้เงินทุนมากแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเจ้าตลาดที่ครองอยู่อย่าง Strategy
แต่ถ้าหากลงทุนใน Altcoins เหรียญอื่น ๆ นอกจากบริษัทจะต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องอุปทานไม่จำกัดแล้ว ความผันผวนของ Altcoins ยังสูงกว่าบิทคอยน์หลายเท่า และอาจสูญเงินได้มากถึง 90% ในแต่ละวัฏจักร ทำให้ความเสี่ยงของบริษัทเหล่านี้ยิ่งสูงขึ้นตามตัว
ที่มา : Cointelegraph

