เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา บิทคอยน์ สินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลก ได้สร้างสถิติราคาสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ $125,559 นับเป็นการต้อนรับเดือน “Uptober” อย่างน่าตื่นตา และกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของปี 2025 แซงหน้าแม้กระทั่งทองคำ
อย่างไรก็ตาม กระแสความร้อนแรงนี้อาจไม่ใช่สัญญาณบวกทั้งหมด Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ออกมาเตือนว่า ราคาของ Bitcoin และตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นผลข้างเคียงจากนโยบาย “อัดฉีดเงินชดเชย” ของ Donald Trump ซึ่งรัฐบาลตั้งใจจะนำรายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มมาจ่ายคืนประชาชน แนวทางที่อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่สร้างความร้อนแรงเกินจริงในตลาดโลกการเงิน
นักวิเคราะห์จาก Bitfinex เห็นตรงกับ Jamie Dimon โดยชี้ให้เห็นว่า นโยบาย “จ่ายเช็คเงินสดให้ประชาชน” ของทรัมป์อาจดำเนินรอยตามเหตุการณ์ช่วงโควิด ที่เงินเยียวยาจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดคริปโต ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นต่อ
พายุ “Perfect Storm” แห่งปี 2025 ปัจจัยหลายด้านกำลังรวมตัวกัน
หลังจากราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุ $125,000 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม นักลงทุนต่างมองว่า นี่คือผลจากการรวมตัวของปัจจัยหลายประการ ทั้งการเร่งปรับลดดอกเบี้ยของ Fed, ความไม่แน่นอนจาก การปิดตัวของรัฐบาลสหรัฐฯ, การอ่อนค่าของดอลลาร์ และกระแสการลงทุนผ่าน กองทุน ETF ที่ยังคงร้อนแรง
David Siemer ซีอีโอของ Wave Digital Assets กล่าวว่า “การที่ Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดใหม่ในวันนี้ เป็นผลมาจาก ‘Perfect Storm’ ของปัจจัยที่ผลักดันให้ความต้องการพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งแรงซื้อจาก ETF ที่ดึงเม็ดเงินสถาบันเข้ามาในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงท่าทีผ่อนคลายของ Fed ที่กระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงทั่วกระดาน
เขาเสริมว่า “เมื่อบวกเข้ากับความไม่แน่นอนจากการปิดรัฐบาลสหรัฐฯ เราจึงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แม้เพียงแรงซื้อเล็กน้อยก็สามารถผลักราคาขึ้นอย่างรุนแรง”
อย่างไรก็ตามแม้ปัจจัยทุกอย่างจะดูดีไปหมด แต่นักวิเคราะห์บางรายกลับไม่เชื่อมั่นว่าขาขึ้นที่เห็นกันอยู่จะยั่งยืน
Alex Blume ซีอีโอของบริษัทให้คำปรึกษานักลงทุนสถาบัน Two Prime คาดว่าขาขึ้นครั้งนี้จะอยู่ไม่นานนัก เพราะตลอดเดือนที่ผ่านมาเราเห็นราคาทองคำพุ่งอย่างรุนแรงซึ่งราคาของ Bitcoin ก็มักจะพุ่งตามหลังจากนั้น
แต่ด้วยความที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างรู้กันอยู่แล้วว่าไตรมาสที่ 4 จะเป็นเวลาทองในการลงทุนคริปโต ส่งผลทำให้มีการเก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่งในตลาดฟิวเจอร์สและมีการใช้เลเวอเรจกันจำนวนมาก หมายความว่าสิ่งที่ดันราคาในตลาดอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ความต้องการจากฝั่งตลาดของสปอต หรือก็คือราคาที่เราเห็นกันนั้นไม่มีความยั่งยืน
“Perfect Storm ที่หลายคนคิดว่าเป็นพายุขาขึ้น อาจกลายเป็นพายุถล่มตลาดครั้งใหญ่แทน”
ที่มา : Forbes