กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ได้ออกมาเปิดเผยปฏิบัติการครั้งใหญ่ในการยึดบิตคอยน์มูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 490,000 ล้านบาท จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติที่ดำเนินการในกัมพูชา โดยขบวนการนี้ใช้รูปแบบหลอกลวงที่เรียกว่า “Pig Butchering” กลโกงที่ล่อเหยื่อให้หลงเชื่อและยอมโอนเงินด้วยความไว้วางใจ ก่อนจะเชิดเงินหนีไป
ตามรายงานของอัยการสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2025 ระบุว่า ผู้อยู่เบื้องหลังคือ นายเฉิน “วินเซนต์” จื้อ นักธุรกิจเชื้อสายจีนวัย 38 ปี และประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group ซึ่งถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงออนไลน์ ฟอกเงิน และติดสินบนเจ้าหน้าที่ โดยอัยการรัฐบาลกลางในเขตบรูกลินเปิดเผยว่า เฉินควบคุม “ฟาร์มโทรศัพท์” ขนาดใหญ่ในกัมพูชา ที่ใช้แรงงานข้ามชาติในลักษณะ บังคับทำงาน เพื่อดำเนินการหลอกเหยื่อทั่วโลก

ที่มา: เอกสารเผยว่า มีศูนย์ปฏิบัติการ 2 แห่งที่ใช้โทรศัพท์กว่า 1,250 เครื่อง ควบคุมบัญชีโซเชียลมีเดียมากถึง 76,000 บัญชี
เงินที่ได้จากเหยื่อถูกนำไปฟอกผ่านธุรกิจหลายแขนง ทั้ง คาสิโน การขุดเหมือง และอสังหาริมทรัพย์หรู รวมถึงซื้อของฟุ่มเฟือยอย่าง เรือยอชต์ เครื่องบินเจ็ต นาฬิกาหรู และแม้แต่ภาพวาดของ ปิกัสโซ ที่ซื้อมาจากนิวยอร์ก นอกจากนี้ยังมีคฤหาสน์ในลอนดอนมูลค่า 16 ล้านดอลลาร์ และตึกสำนักงานในย่านการเงินของลอนดอนมูลค่ากว่า 126 ล้านดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้ถูกอายัดโดยรัฐบาลอังกฤษ
DOJ ยืนยันว่าบิทคอยน์จำนวน 127,271 BTC ได้ถูกยึดเข้าสู่การดูแลของรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งทั้งหมดเก็บอยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลแบบไม่ผ่านแพลตฟอร์มกลางที่เฉินเป็นคนควบคุมเอง
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชากลุ่ม Prince Holding Group ว่าเป็น “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” พร้อมประกาศคว่ำบาตรเฉินและพวกพ้อง ส่วนทาง รัฐบาลสหราชอาณาจักร ก็เตรียมดำเนินมาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน
ในเอกสารของศาลยังเปิดเผยว่า เฉินมีรายได้จากการหลอกลวงมากถึง 30 ล้านดอลลาร์ต่อวัน และมีหลักฐานการทรมานแรงงานเพื่อบังคับให้ทำงานต่อเนื่อง ขณะที่เหยื่อจำนวนมากยืนยันว่าเคยถูกหลอกผ่านข้อความในแอปหรือโซเชียลมีเดีย ก่อนจะสูญเงินเก็บทั้งหมดไป
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวปิดท้ายว่า คดีนี้เป็น “จุดเปลี่ยนของการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก” ที่ใช้เทคโนโลยีและธุรกิจบังหน้าในการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้บริสุทธิ์ โดยจะเดินหน้าติดตามและยึดทรัพย์เพิ่มเติมจากเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั่วโลกต่อไป
ที่มา:cnbc

