<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ปฏิบัติการหนีตาย! ‘เฉิน จื้อ’ เจ้าของ Prince Group โอน Bitcoin $1.7 พันล้าน — หลังสหรัฐฯ ลุยล้างบางกัมพูชา’

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ข่าวใหญ่ที่เชื่อมโยงกับวิกฤตชายแดนไทย! นาย เฉิน จื้อ (Chen Zhi) มหาเศรษฐีชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน และประธานกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ Prince Group ซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในฐานะผู้นำองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (TCO) ได้ทำการเคลื่อนย้าย Bitcoin ($BTC) มูลค่ามหาศาลกว่า $1.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปฏิบัติการที่ถูกมองว่าเป็นการ “หนีตาย”จากมาตรการคว่ำบาตร

ศูนย์กลางสแกม & การยึด Bitcoin ครั้งประวัติศาสตร์

การเคลื่อนไหวของเงินทุนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) และกระทรวงการคลัง (OFAC) ประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 โดยกล่าวหาว่า เฉิน จื้อ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังอาณาจักร “สแกมบังคับใช้แรงงาน” (Forced-Labor Scam) ในกัมพูชา ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงการลงทุนคริปโต (Pig Butchering Scams) ที่สร้างความเสียหายแก่เหยื่อทั่วโลก:

  • มาตรการคว่ำบาตร: รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตร 146 บุคคลและนิติบุคคลที่เชื่อมโยงกับ Prince Group TCO พร้อมทั้งมีการ ยึด Bitcoin ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้ไปแล้วกว่า $15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการริบคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ DOJ
  • Wallet Rotation: ข้อมูลการวิเคราะห์บล็อกเชนจาก Arkham ชี้ว่า การโอน BTC มูลค่า $1.72 พันล้านดอลลาร์ เป็นการ “หมุนเวียนเงินทุน” (Wallet Rotation) ไปยัง Address ใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกอายัดทรัพย์สิน (Asset Freeze) และเป็นการซ่อนร่องรอยการถือครอง

ความท้าทายในการ “ล้างบาง” อาชญากรรมข้ามชาติ

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายกับอาชญากรคริปโตข้ามชาติ และมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับปัญหา “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่กำลังเป็นประเด็นอ่อนไหวระหว่างไทยกับกัมพูชา:

  • บทบาทของกัมพูชา: DOJ ระบุชัดเจนว่า Prince Group ใช้กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการหลักในการควบคุมและบังคับใช้แรงงาน
  • มูลค่ามหาศาล: การที่อาชญากรคนเดียวสามารถควบคุมพอร์ตคริปโตที่มีมูลค่ามหาศาลได้ แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นต้นตอของวิกฤตความมั่นคงและปัญหาตามแนวชายแดนที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

การเคลื่อนไหวของ เฉิน จื้อ จึงเป็นการส่งสัญญาณว่าการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ และนานาชาติกำลังเข้าสู่ “ช่วงล้างบาง” ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มทุนเทาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง

ที่มา: @Arkham