Jurien Timmer ผู้อำนวยการด้าน Global Macro ของ Fidelity มองว่า การที่สินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงมาก อย่างเช่น หุ้นมีม (meme stocks), SPACs, หุ้นเทคโนโลยีที่ยังไม่ทำกำไร, การ IPO ใหม่ ๆ และ Bitcoin ราคาปรับตัวลงอย่างหนักในขณะนี้ อาจเป็นเรื่องดีต่อระบบโดยรวม เนื่องจากการดึงเอาอารมณ์ความบ้าคลั่งในตลาดออกไป จะช่วยลดการเก็งกำไรที่มากเกินจริง และทำให้ตลาดการเงินโดยรวม สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และมีเสถียรภาพมากขึ้น
นักวิเคราะห์คริปโตหลายราย มองว่า การที่ราคา Bitcoin ย่อตัวลงอย่างรุนแรง ประมาณ 20–30% นี้ ถือเป็น “การปรับฐานปกติของตลาดขาขึ้น” ซึ่งมีประโยชน์เนื่องจากเป็นการสลัดนักลงทุนผู้ที่ตื่นตระหนกง่ายให้ออกจากตลาดไป และลดเลเวอเรจที่สูงเกินจริงออกจากระบบ
ในขณะที่ CEO ของ Binance มองว่า Bitcoin กำลังอยู่ในช่วง “พักตัวแบบสุขภาพดี” ส่วน Arthur Hayes มองว่า การล้างพอร์ตเลเวอเรจ และสภาพคล่องในตลาดที่ลดลงอาจเป็นปัจจัยที่เปิดทางให้ราคา Bitcoin ดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยเขามั่นใจว่า หากธนาคารกลางสหรัฐฯ กลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ ราคา Bitcoin อาจพุ่งสูงถึง $200,000 ดอลลาร์ –$250,000 ดอลลาร์
ด้าน JPMorgan ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ ได้ประเมินมูลค่า โดยเปรียบเทียบ ความผันผวนของราคา Bitcoin กับทองคำ และให้กรอบเวลาที่ชัดเจน โดยคาดการณ์ว่า ราคา Bitcoin มีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ $170,000 ดอลลาร์ ได้ ภายใน 6–12 เดือนข้างหน้า (หรือประมาณช่วงปี 2026)
Jurien Timmer ยอมรับว่า โมเมนตัมของ Bitcoin ได้หายไปมาก เมื่อราคา Bitcoin ร่วงหลุดจากระดับ $100,000 ดอลลาร์ จึงทำให้ตอนนี้ Bitcoin มีพฤติกรรมคล้ายสินทรัพย์เสี่ยง มากกว่าที่จะเป็นสินทรัพย์หลบภัย
อย่างไรก็ตาม Jurien Timmer ยังคงมองเห็นสัญญาณบวก เนื่องจากโครงสร้างเครือข่ายพื้นฐานของ Bitcoin ยังคงดีอยู่ และไม่ได้หลุดจากทรงใหญ่ตาม โมเดล Power Law ที่ใช้ในการวิเคราะห์
ที่มา : u.today