Ethereum กลับมายืน 3,000 ดอลลาร์ หลังตลาดคริปโตค่อย ๆ ฟื้นตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Ethereum ปรับขึ้นกว่า 7.22% ถือเป็นการฟื้นที่สำคัญ หลังถูกแรงขายกดดันต่อเนื่องนานเกือบ 2 เดือน
ขณะที่ราคาเริ่มทรงตัว แพลตฟอร์มวิเคราะห์ XWIN Research Japan เปิดเผยประเมินแนวโน้ม Ethereum โดยโฟกัสไปที่ข้อมูลในตลาดฟิวเจอร์สและข้อมูล On-chain
Laverage ถูกล้างออกแล้ว ตลาดพร้อมเริ่มรอบใหม่หรือยัง?
ในช่วงการปรับฐานครั้งใหญ่ไตรมาส 4 ปี 2025 Ethereum ร่วงจาก 4,700 ดอลลาร์ ไปที่ 2,900 ดอลลาร์ ลดลงถึง 38% ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญในตลาดฟิวเจอร์ส
หนึ่งในจุดที่เห็นชัดคือ Open Interest รวมร่วงจาก 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนว่า สถานะ Long ที่มี Laverage สูงถูกบังคับปิด ทำให้เทรดเดอร์กลับมาเปิดสถานะใหม่ด้วยเลเวอเรจที่ “น้อยกว่าเดิม” แม้ Funding Rate จะยังเป็นบวก แต่ลดลงเหลือเพียง 0.002 แสดงว่าโมเมนตัมขาขึ้นตั้งแต่กลางปีเริ่มอ่อนแรงลงมาก
สัญญาณ On-chain ชี้ Ethereum อยู่ใน “โซน Fair Value”
ข้อมูล MVRV อยู่ที่ 1.27 ขณะที่ข้อมูลจาก Binance ให้ค่าประมาณ 1.0 ซึ่งชี้ว่า ETH เคลื่อนตัวในโซน Fair Value หรือโซนที่ “ไม่แพง ไม่ถูก” และมักเป็นช่วงสร้างฐานก่อนเริ่มเทรนด์ใหญ่ครั้งใหม่
นอกจากนี้ การดีดตัวของราคาเริ่มต้นหลัง Ethereum แตะระดับต้นทุนเฉลี่ยของเจ้ามืออีกครั้ง บ่งบอกว่าเหล่านักลงทุนรายใหญ่เริ่มกลับมาซื้อสินทรัพย์อีกครั้ง
หลักฐานเพิ่มเติมมาจาก XWIN Research Japan ที่ชี้ว่า
- Ethereum Treasury ของ BitMine เพิ่มการถือครองเป็น 3.63 ล้าน ETH
- ลูกค้ารายใหญ่ของ BlackRock ซื้อ ETH มูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ เพิ่มแรง Demand ฝั่งซื้ออย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังไม่สดใสนัก เพราะ เงินไหลออกสุทธิของกองทุน Ethereum ETF เดือนพฤศจิกายนแตะ 1.42 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนแรงขายฝั่งสถาบันที่ยังคงกดดันราคา
ฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในช่วงขาลง
ราคา Ethereum ขณะนี้อยู่ที่ 3,003 ดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อย 0.22% ในช่วง 1 วันที่ผ่านมา แม้จะบวกในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังร่วง 22.34% ภายในเวลา 1 เดือน ซึ่งหมายความว่าผู้ถือระยะสั้นส่วนใหญ่ยังติดลบอยู่
XWIN Research Japan ระบุว่า
แม้การล้าง Laverage จะเกิดขึ้น และวาฬกำลังเข้าซื้อ แต่โดยภาพรวม Ethereum ยังอยู่ในโซนขาลง นักลงทุนจึงควรคาดการณ์ความผันผวนระยะสั้นแบบ “เหวี่ยงแรง—เทขายแรง” ก่อนที่ตลาดจะเลือกทิศทางจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ระดับราคาในปัจจุบันถูกมองว่า “น่าสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ” และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวครั้งใหญ่ในระยะยาว

