หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาว่า Bitcoin เป็น Cryptocurrency Generation ที่ 1 หรือรุ่นแรก เนื่องจากมันเป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่ทว่า มันยังคงมีข้อเสียอยู่หลายประการไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่อาจสูงกว่าการทำธุรกรรมทั่วไปในบางครั้ง, ระยะเวลาในการทำธุรกรรมที่ใช้เวลาขั้นต่ำถึง 10 นาที ซึ่งยังไม่รวมถึงปัญหาด้าน Scaling ของมัน ที่ยังคงไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้เครือข่ายมีประสิทธิภาพที่ลดลง
ในเวลาต่อมาเลยมีคริปโตตัวอื่น ๆ ถือกำเนิดขึ้นมา (Cryptocurrency Generation 2,3) ซึ่งคริปโตเหล่านั้นต่างก็เคลมว่ามีเทคโนโลยีที่ดีกว่า Bitcoin เช่น Ethereum หรือ NEO เป็นต้น แต่ถึงแม้เทคโนโลยีของเหรียญเหล่านั้นจะดีกว่าแค่ไหนก็ตาม ก็ดูเหมือนว่าตั้งแต่ตลาดคริปโตถือกำเนิดขึ้นมา Bitcoin ก็ยังคงเป็นคริปโตที่มีมูลค่าโดยรวมมากที่สุดครองแท่นอันดับ 1 (ในแง่ของมูลค่าตลาดโดยรวมที่มากที่สุด) เสมอมา ส่งผลให้หลาย ๆ คนสงสัยว่า ทำไม Bitcoin ที่เทคโนโลยีไม่ได้ดีเด่นเท่าไรนัก ยังสามารถรักษาตำแหน่งนี้ได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เกิดมาก่อน
ถึงแม้คริปโตสกุลอื่น ๆ จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าแค่ไหนก็ตามแต่ก็เป็นความจริงที่ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นสกุลแรก และด้วยเหตุนั้น ทำให้มันเป็นที่รู้จักโดยคนหมู่มาก หากคุณลองไปถามคนที่รู้จักว่า เคยได้ยินคำว่า “Cryptocurrency” ไหม คนส่วนใหญ่คงให้คำตอบว่า “ไม่” อย่างแน่นอน แต่หากลองถามว่าเคยได้ยินคำว่า “Bitcoin” ไหม คนส่วนใหญ่จะรู้จักมันอย่างแน่นอน
ปัจจุบัน Bitcoin เหมือนกลายเป็น Brand ของคริปโตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อพูดถึงคริปโต หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่พูดถึง Bitcoin เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คงไม่มีใครบอกว่าอยากกิน “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างแน่นอน” คนส่วนใหญ่จะบอกว่าอยากกิน “มาม่า” เนื่องจากมาม่านั้นได้กลายเป็น Brand ติดฝังลึกลงไปในทุกคนแล้ว แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็กำลังเกิดขึ้นกับ Cryptocurrency และ Bitcoin
ด้วยความที่ Bitcoin เป็นที่แพร่หลายนี้ ส่งผลให้เมื่อใครต้องการลงทุนในเงินดิจิทัล พวกเขาก็จะนึกถึง Bitcoin ก่อนเป็นอันดับแรก และเลือกที่จะลงทุนกับมัน ทำให้มันมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
เงินที่ไหลเข้ามา
ปัจจุบัน สถาบันทางการเงินเริ่มมีความสนใจในเงินดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เริ่มมีกองทุนสำหรับคริปโตเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น กองทุน Pantera Capital ซึ่งลงทุนในคริปโตหลากหลายสกุล แต่พวกเขาเผยว่าได้ครอบครอง Bitcoin มากกว่าคริปโตตัวอื่น ๆ และเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พวกเขาได้เผยว่า สร้างผลตอบแทนถึง 10,000 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 5 ปีที่ก่อตั้ง
อ้างอิงจาก Crypto Fund Research ในอุตสาหกรรมคริปโต มีกองทุนทั้งหมด 466 กองทุน โดย 88 กองทุนถูกก่อตั้งก่อนปี 2014, 32 กองทุนถูกก่อตั้งในปี 2014, 30 กองทุนถูกก่อตั้งในปี 2015, 42 กองทุนถูกก่อตั้งในปี 2016, 156 กองทุนถูกก่อตั้งในปี 2017 และ 96 กองทุนถูกก่อตั้งในปีนี้ นอกจากนี้ยังถูกคาดว่าในปี 2018 จะมีกองทุนถูกก่อตั้งขึ้นทั้งหมด 165 กองทุน
จากข้อมูลดังกล่าวจะสังเกตได้ว่า กองทุนที่ลงทุนในคริปโตนั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยหลัก ๆ เกิดจากความต้องการของนักลงทุนระดับสถาบันที่อยากหาช่องทางในการลงทุนคริปโต ซึ่งกองทุนเหล่านั้นลงทุน Bitcoin เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ความต้องการ Bitcoin เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งมูลค่าของมัน
ความเสี่ยงต่ำกว่า
ด้วยความที่ Bitcoin เป็นคริปโตอันดับ 1 ส่งผลให้การควบคุม หรือปั่นราคาของมันเกิดขึ้นยากไปอีก และด้วยความที่ราคาของมันขยับยาก ทำให้ความผันผวนของมันมีน้อยลง หากลองเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต หรือในปัจจุบันจะพบว่า Bitcoin จะมีเปอร์เซ็นต์การเพิ่มหรือลดที่ต่ำกว่า Altcoins เป็นอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin ลดลงประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่หากดู Altcoins 10 อันดับแรก จะพบว่ามีการร่วงลงของราคาที่มากกว่า Bitcoin อย่างเห็นได้ชัด
หรือวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา Bitcoin ไปแตะที่ 6,000 ดอลลาร์ และมีราคาลดลงภายใน 24 ชั่วโมงประมาณ 5.6 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ราคาของ Altcoins Top 10 ส่วนใหญ่ร่วงลงมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
จากความเสี่ยงและความผันผวนที่ต่ำกว่านี้ ทำให้ในแง่ของการลงทุน Bitcoin ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในคริปโต แต่อยากรับความเสี่ยงที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่
สรุป
การที่คริปโตสกุลไหนจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ไม่ได้แปลว่า คริปโตนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุดอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาในแง่ของการลงทุนควบคู่ด้วย เนื่องจากตลาดคริปโตนั้นยังคงเป็นตลาดที่เน้นการเก็งกำไรเป็นหลักอยู่ สินทรัพย์ไหนที่มีความเสี่ยงต่ำ และเป็นที่รู้จักของคนหมู่มากก็ย่อมไม่แปลกใจที่มันจะครองตำแหน่งอันดับ 1 ได้เสมอมา
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น