นักวิเคราะห์รายหนึ่งจัดลิสต์เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับศาสตร์การเอาตัวรอดจากตลาดขาลงอันโหดร้ายของ Bitcoin โดยรวบรวมเรื่องน่ารู้ไว้มากมาย เช่น ข้อมูลเบื้องต้นของตลาดขาลง สาเหตุของตลาดขาลง และวิธีการเอาตัวรอดจากตลาดขาลง ทาง Siamblockchain จึงนำบทความดังกล่าวมาแปลเพื่อให้ข้อมูลนักเทรดชาวไทย
ไม่นานมานี้ราคา Bitcoin ร่วงลงไปกว่า 20 เปอร์เซ็น ทำให้หลายคนเชื่อว่าตลาด Bitcoin ก้าวเข้าสู่ช่วงขาลงอีกครั้ง มีคนพูดประมาณว่า “รีบสวมเข็มขัดเร็ว เรากำลังเข้าสู่เขตขาลงอันตราย” แต่สุดท้ายแล้วโชคดีที่ราคาปรับตัวกลับขึ้นมาได้ภายในไม่กี่วัน
สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะเปลี่ยนเป็นตลาดขาลงได้จริงเพราะมันอาจจะทำให้เกิด FUD หรือ กลัว/ไม่แน่นอน/ไม่เชื่อมั่น (Fear/Uncertainty/Doubt) ที่จะสร้างกระแสหวาดกลัวในหมู่นักลงทุนทั้งในโซเชียลและโลกความจริง FUD จะทำให้คนแห่ขายสกุลเงินดิจิตอลพร้อมๆ กันทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก ซึ่งทางที่ดีคือเราควรควบคุมสติของเราไว้จนกว่าวิกฤตนี้จะผ่านพ้นไป
ดังนั้นแล้วจึงมีการรวบรวมเรื่องควรรู้เพื่อเอาตัวรอดจากตลาดขาลงโดยที่ยังรักษาเงินทุนไว้ได้อย่างปลอดภัย
1.อะไรคือตลาดขาลง
ตลาดขาลงหรือที่ต่างประเทศเรียกว่าตลาดหมี (Bear Market) คือปรากฎการณ์ที่ราคาเหรียญร่วงลงและนักเทรดจำนวนมากขายเหรียญทิ้งเพราะความกลัว (การแห่ขายจะยิ่งทำให้ราคาร่วงหนักขึ้นอีก) รูปแบบราคาร่วงลงจึงเกิดขึ้นอย่างหนักแน่น หลายคนถามว่าตลาดขาลงจะเกิดขึ้นกับตลาดนานแค่ไหน น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถตอบได้ ตลาดขาลงครั้งก่อนในโลกคริปโตคือตอนเดือนธันวาคม 2017 ซึ่งกว่าจะจบลงเวลาก็ผ่านไปปีครึ่ง ในช่วงนั้นราคา Bitcoin ลงไปกว่า 6 เท่า ตั้งแต่ 20,000 ดอลลาร์ถึง 3,200 ดอลลาร์ โดยเหรียญ altcoins ตัวอื่นก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาเหรียญ altcoins ยังเคลื่อนไหวตามราคา Bitcoin เป็นหลัก ดังนั้นแล้วหากเราต้องการจะตามราคาตลาดเราอาจจะดูรูปแบบราคาของ Bitcoin ได้
2.ความแตกต่างระหว่างตลาดหมีกับตลาดกระทิง
ตลาดขาขึ้นหรือที่ต่างชาติเรียกว่าตลาดกระทิง (Bull Market) คือขั้วตรงข้ามของตลาดขาลง ในช่วงของตลาดกระทิงราคา Bitcoin จะพุ่งขึ้นสูงมาก ส่งผลให้คนมีความหวังและมองโลกในแง่ดีและแห่กันมาซื้อ Bitcoin ในที่สุด ส่งผลให้ราคาพุ่งรุนแรงขึ้นไปอีก
ตลาดขาลงจะทำให้นักลงทุนกลัวเสมอ ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ราคาร่วงหนักขึ้น และยิ่งราคายิ่งลงหนักขึ้นอาการ FUD ในหมู่นักลงทุนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น กฎข้อแรกสำหรับนักลงทุนทุกคนคือต้องเลี่ยงอารมณ์ ใจเย็นเข้าไว้ ตัดสินใจโดยใช้หลักเหตุผล
3.ทำไมราคาต้องร่วงด้วย?
ปกติสกุลเงินดิจิตอลก็ถูกมองว่าเป็นค่าแลกเปลี่ยนที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หลายคนมองว่ามันทั้งคาดเดาไม่ได้และแปรปรวนมาก วันหนึ่งราคาอาจจะขึ้นจะทำให้เรานึกภาพว่าเราเป็นแรมโบ้ ลงทุนยังไงก็ไม่ตาย แต่กลายเป็นว่าต่อมาราคาก็ร่วงเละ เงินทุนในบัญชีเราก็หายไป แทนที่จะได้รถคันใหม่สิ่งที่เราซื้อได้คือแค่ข้าวตามสั่ง
สาเหตุที่ทำให้ราคาตลาดร่วงมีหลายประการ ตั้งแต่เหตุการณ์ทางการเมือง ข่าวต่างๆ หรือความไม่แน่นอนของตลาดขาขึ้น แต่ (สำหรับตลาดคริปโต) สิ่งแน่นอนที่เกิดทุกครั้งคือหลังจากตลาดขาลงตลาดจะเริ่มฟื้นตัว และหลังจากนั้นตลาดขาขึ้นจะตามมาก่อนที่จะกลับลงมาหาจุดที่มันคง
4.ข้อแตกต่างระหว่างตลาดขาลงกับการปรับฐานราคา
นักลงทุนมักจะมีปัญหาในการแยกแยะว่าตลาดในปัจจุบันเป็นตลาดขาลงหรือแค่การปรับฐานราคา การปรับฐานราคามักจะมีระยะประมาณแค่ไม่กี่วันจนถึงหลายเดือน แต่ตลาดขาลงอาจจะอยู่ยาวเป็นปี แต่ถึงอย่างไรก็ตามการปรับฐานอาจจะเปลี่ยนเป็นตลาดขาลงได้เพราะว่านักลงทุนอาจจะกลัวจนแห่ขาย ส่งผลให้กลายเป็นตลาดขาลงในที่สุด
ปรากฎการณ์ดังกล่าวเป็นไปได้สูงสำหรับตลาดที่ยังเป็นตลาดใหม่และไม่มั่นคงอย่างตลาดคริปโต วิธีการดูก็คือต้องสังเกตค่าวอลุ่มหรือกราฟราคา ถ้าค่าวอลุ่มยังลดลงและราคายังไม่สามารถหาฐานได้เราจะสามารถคาดการณ์ได้ว่ากำลังจะมีข่าวร้ายเกิดขึ้นอีกเร็วๆ นี้ ซึ่งต้องย้ำอีกครั้งว่าเหรียญสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ นั้นมีราคาตาม Bitcoin เราสามารถคาดการณ์ราคาเหรียญ altcoins ผ่านการสังเกตปัจจัยที่ได้กล่าวไปของ Bitcoin
5.ต้องทำยังไงในช่วงขาลง
มีกฎอีกประการที่นักลงทุนควรปฎิบัติตามคือนักลงทุนไม่ควรสติแตกในช่วงตลาดขาลง เราควรเตรียมตัวสำหรับตลาดขาลงตลอดเวลาเพราะตลาดขาลงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเสนอ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลไกของตลาดบังคับให้มีทั้งขาลงและขาขึ้น นาย Vlad Gubernat นักลงทุนหุ้นจากโรมาเนียเสนอว่าเราทุกคนควรคิดถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดเสมอ เขาบอกให้ทิ้งคติโลกสวยและเผชิญกับความจริงว่าไม่ช้าก็เร็วตลาดก็จะกลับสู่ขาลงในที่สุด ซึ่งเราต้องคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เพื่อที่เราจะหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้ ซึ่งถึงแม้ว่านาย Gubernat จะเป็นนักเล่นหุ้นแต่ทฤษฎีของเขาก็เอามาใช้กับสกุลเงินติจิตอลได้เช่นกัน หลักการของเขามีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า
“ถ้าคุณหวังว่าราคาจะลงไปแค่ 10 เปอร์เซ็นและมีระยะแค่ไม่ถึงเดือนสองเดือนแสดงว่าคุณกำลังหลอกตัวเอง คนหลอกตัวเองไม่ควรเทรด”
นอกจากนั้นแล้วนักลงทุนจะต้องมองระยะยาวเข้าไว้เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากตลาดขาลง มีเรื่องควรรู้ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็วส่วนใหญ่คือนักลงทุนที่เสียเงินน้อยที่สุดในตลาดขาลง ไม่ใช่นักลงทุนที่ทำเงินได้มากที่สุดในตลาดขาขึ้น
การจะควบคุมความเสี่ยงตอนที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลงก็เหมือนการไปปาร์ตี้สาย เราต้องเตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้า (และเราต้องรู้ด้วยว่าเตรียมตัวยังไง) จะได้รู้ว่าควรจะลงทุนตอนไหน
ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์พื้นฐานและเชิงเทคนิคด้วยตัวเอง นักลงทุนควรอ่านหนังสือเพื่อเสนิมสร้างความสามารถในทางการเงินและการเทรด และยังควรค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ต่างๆ เพื่ออนาคตของตน
มีคำแนะนำว่านักลงทุนควรลงทุนเงินเพียง 1 เปอร์เซ็นจากเงินเก็บทั้งหมดที่เรามี หากเรามองตลาดในมุมมองว่าตลาดขาลงก็เหมือนช่วงลดราคา Grand Sale ของตลาดคริปโต เราจะพบว่าเราจะสามารถซื้อเหรียญแบบ Bitcoin หรือ Ether ได้ในราคาที่ถูกกว่าปกติ แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าเราจะลงทุนเราควรลงทุนในปริมาณที่สมเหตุสมผล ซึ่งนาย Stephen Burns แนะนำว่านักลงทุนควรลงทุนเพียง 1 เปอร์เซ็นจากเงินเก็บทั้งหมดที่เขามี
นาย Burns ซึ่งเป็นชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเน้นย้ำว่าการเทรดในช่วงตลาดขาลงควรลงทุนอยู่ภายใต้ความปลอดภัย เขาเสริมว่านักลงทุนที่หวังจะได้ผลตอบแทนสูงต้องคิดเผื่อว่าพวกเขาจะเสียเงินทุนกว่าครึ่งหากตลาดร่วงด้วย
ดังนั้นแล้วนาย Burns จึงบอกว่าการลงทุนควรทำอย่างมีระเบียบและเอาเงินไปเสี่ยงเพียง 1 เปอร์เซ็นของเงินทั้งหมดที่เรามี (ต่อการเทรด 1 ครั้ง) เราควรหลีกเลี่ยงความคิดที่จะลงทุนเพื่อชดเชยเงินที่ขาดทุนไปก่อนหน้า การตัดสินใจดังกล่าวจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง
6.เราสามารถทำกำไรจากตลาดช่วงขาลงได้หรือไม่?
มีนักลงทุนบางคนที่สามารถทำกำไรภายในช่วงตลาดขาลงได้ แต่มันจะเกิดขึ้นได้สำหรับคนที่มีประสบการณ์ ความสามารถ และสติที่สูงมาก ความเสี่ยงที่จะเสียทุกอย่างที่เรามีนั้นสูง นักลงทุนที่สามารถทำได้ใช้วิธีการเทรดแบบระยะสั้น พวกเขาค่อยเก็บกำไรเล็กๆ น้อยทุกๆ วัน ซึ่งถ้าหากพลาดอาจจะทำให้เงินทุนทั้งหมดสูญไป
ทางที่ดีที่สุดคือการรักษาทุนของเราไว้ แต่ถ้าเรามั่นใจและเก่งพอเราอาจจะลองบริการเงินทุนของเราให้ดี มีวิธีที่จะลงทุนอีกมาก เช่นการลงทุนในเหรียญอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงในช่วงขาลงต่ำซึ่งจะช่วยให้เราลดความเสี่ยงลงได้บ้าง
7.เมื่อไหร่ที่ตลาดขาลงจบ
ในตลาดหุ้นนักลงทุนจะรู้ว่าตลาดขาลงหมดลงก็เมื่อมันลงไปมากกว่า 20 เปอร์เซ็นแล้ว แต่สำหรับตลาดคริปโตแล้วมันไม่แน่นอนเลย บางครั้งขาลงก็ลงไปถึง 70 เปอร์เซ็นภายในไม่ถึงปี
ดังที่กล่าวไปข้างต้นราคาของ altcoins ได้รับผลกระทบจาก Bitcoin ดังนั้นแล้วการจะเข้าใจรูปแบบของตลาดจะต้องเข้าใจราคา Bitcoin ด้วย ตลาดขาลงจะจบลงได้ด้วยพลังซื้อและการเปลี่ยนราคาอย่างรุนแรงเท่านั้น
สุดท้ายแล้ว Bitcoin ก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ อย่างที่ใครคิด นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จและเอาชีวิตรอดในขาลงต้องมีหลักเหตุผล ใช้สมองมากกว่าความรู้สึก และที่สำคัญที่สุดคือต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดด้วยตนเองอีกด้วย
ที่มา freewallet
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น