นักลงทุนคริปโตผู้บุกเบิกนาย Roger Ver ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้สนับสนุน Bitcoin แต่ก็ hard fork เปลี่ยนมาสนับสนุ Bitcoin Cash แทนดูเหมือนว่าจะกลับมากล่าวโจมตีเหรียญที่เคยสร้างฐานะของเขาให้ร่ำรวยขึ้นมาอย่าง Bitcoin
มีต้นทุนที่แพงและเสี่ยง
เมื่อวานนี้นาย Roger นั้นได้ออกมาโพสต์ผ่าน Twitter ของเขา โดยชี้ว่า Bitcoin นั้นมีต้นทุนที่สูง อีกทั้งยังใช้เวลาในการทำธุรกรรมที่ช้าอีกด้วย และสำหรับตัวเขานั้นมันถือเป็นเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจมาก
Imagine promoting Bitcoin today:
On Chain:
1. High fees
2. Devs want higher fees
3. Slow
4. Unreliable
5. ReversibleLayer 2:
1. Requires expensive full node
2. Initial setup takes all day
3. Practically requires a CS degree
4. Risk loss of fundsCustodial:
1. Same as PayPal— Roger Ver (@rogerkver) January 3, 2020
แปล: ลองจินตนาการว่าหากเราจะพูดขาย Bitcoin วันนี้นะ:
Onchain:
- ค่าธรรมเนียมสูง
- นักพัฒนาต้องการให้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้นอีก
- ช้า
- ไว้ใจไม่ได้
- ธุรกรรมสามารถย้อนกลับคืนได้
Layer 2:
- ต้องการ node แบบเต็ม ๆ ที่มีราคาแพง
- การติดตั้งครั้งแรกใช้เวลาทั้งวัน
- ต้องมีความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
- เสี่ยงสูญเสียเงินได้
ผู้เก็บเหรียญ:
เหมือนกับ PayPal
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล่าวว่าการทำธุรกรรมบน Bitcoin นั้นไม่น่าไว้ใจ อีกทั้งยังสามารถย้อนคืนได้เหมือนกับบัตรเครดิตอีกด้วย พร้อมกล่าวว่าเครือข่ายของ Bitcoin นั้นกำลังเสี่ยงต่อการถูกครอบงำด้วยระบบ centralization และมันก็ถูกควบคุมโดยนักพัฒนาที่มีความโลภมาก
Layer ที่ 2 ไม่ใช่ทางเลือก
นอกจากนี้เขายังกล่าวโจมตีผู้ที่กล่าวสนับสนุนตัว layer ที่ 2 ของ Bitcoin อีกด้วยว่ามีต้นทุนที่สูงและเสี่ยงมากเกินไป สำหรับเขานั้น เขามองว่าคนที่จะเปิด node สำหรับ layer ที่ 2 สำหรับเครือข่าย Bitcoin ได้นั้นจะต้องมีความรู้อย่างน้อยก็คือในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
และท้ายสุดนี้ เขากล่าวว่าโดยรวมนั้น Bitcoin นั้นมีความเสี่ยง, แพง และช้า เหมือน ๆ กับ PayPal พร้อมตอกย้ำว่ามันมีความเป็น Centralized สูง อีกทั้งยังถูกควบคุมโดยกลุ่มพวกที่มีอำนาจอีกด้วย
ก่อนหน้านี้นาย Roger นั้นได้รับฉายาว่าพระเยซูแห่ง Bitcoin เพราะว่าเขานั้นเป็นนักลงทุน Bitcoin ยุคบุกเบิก อีกทั้งยังให้การสนับสนุนเหรียญดังกล่าวอย่างเต็มความสามารถอีกด้วย
ทว่าเมื่อตอนปี 2017 ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขานั้นจะเกิดการแตกแยกกับกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin ในประเด็นเรื่องของการ scaling โดยเขามองว่าในขณะนั้นเครือข่ายของ Bitcoin มีความแออัดมาก การทำธุรกรรมนั้นก็มีความล่าช้า จึงได้เสนอให้นักพัฒนา Bitcoin ทำการเพิ่มขนาด block เก็บข้อมูลธุรกรรมขนาด 2MB ให้กลายเป็น 32MB แต่ทางนักพัฒนาก็ปฏิเสธ เนื่องจากมองว่ายังมีวิธีอื่น ๆ ที่ดีกว่านี้อย่างเช่น SegWit ที่เน้นไปที่การบีบอัดข้อมูลธุรกรรมให้เล็กลง แทนที่จะเพิ่มขนาดบล็อกเก็บข้อมูลให้ใหญ่ขึ้น
ภายหลังดูเหมือนว่านาย Roger จะไม่พอใจ เขาจึงได้ประกาศ hardfork Bitcoin ขึ้นมาเป็นเหรียญใหม่ ซึ่งก็คือเหรียญ Bitcoin Cash ที่มีการเพิ่มขนาดบล็อกเก็บธุรกรรมให้ใหญ่ขึ้นจนสมใจอยาก
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น