เหรียญ XRP ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทด้านคริปโตชื่อดังอย่าง Ripple นั้นอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เป็นอยู่นับพันเท่าได้หากการดำเนินการภายในตลาดบางอย่างนั้นเอื้ออำนวย ซึ่งการดำเนินการดังกล่างนั้นต้องอ้างอิงถึงการดำเนินการของบริษัทซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการสร้างระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่โดยการนำสกุลเงินคริปโตมาใช้งาน ซึ่งการดำเนินธุรกรรมต่างๆนั้นจะเกิดขึ้นบนเครือข่าย Blockchain ของเหรียญดังกล่าวนั่นเอง
$XRP showing signs of strength.
Break $0.25 and it's showtime.
$0.3 as a first target.
I am long. pic.twitter.com/MBOBJl0NbY
— Galaxy (@galaxyBTC) January 17, 2020
ทั้งนี้เนื่องจากตั้งแต่ในช่วงปี 1972 นั้นได้มีการพัฒนาระบบการชำระเงินระหว่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในชื่อ SWIFT ซึ่งระบบดังกล่าวนั้นยังได้รับการบอมรับและใช้งานมาจนถึงในปัจจุบัน ซึ่งคิดเป็นระยะเวลากว่า 40 แล้วนั่นเอง ซึ่งถือได้ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นมีความเก่าแก่และอาจไม่เท่าทันต่อความต้องการและบริบทที่เปลี่ยนไปในสังคมปัจจุบันแล้วก็เป็นได้ โดยพิจารณามูลค่าของธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศในปัจจุบันมูลค่านับ 10 ล้านล้านดอลลาร์นั้น กว่าครึ่งหนึ่งได้เกิดขึ้นผ่านระบบ SWIFT อีกทั้งมุลค่ารวมของบัญชีระหว่างประเทศทั้งหมดนั้นยังสูงถึง 27 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ดังนั้นแล้วหากการดำเนินการของบริษัท Ripple นั้นสามารถเป็นที่ยอมรับในวงกว้างจากตลาดการเงินระหว่างประเทศได้แล้ว หมายความว่าการดำเนินการของบริษัทจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินมูลค่ามหาศาลดังกล่าวได้ ซึ่งจะส่งให้ตัวสินทรัพย์ซึ่งบริษัทใช้ในการดำเนินการอย่างเหรียญ XRP มีมูลค่าสูงขึ้นได้มากกว่า 2,000% จากราคาปัจจุบันที่ราวๆ 0.25 ดอลลาร์ไปสู่ 692 ดอลลาร์ได้นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันนั้นเหรียญดังกล่าวได้มีการปรับราคาอยู่ในช่วง 25%-30% ทั้งยังมีโอกาสที่จะได้รับความสนใจมากขึ้นเนื่องจากยังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในตลาดท่ามกลางการหายไปของหลายๆโครงการ
อย่างไรก็ตาม เหรียญ XRP รวมถึงเครื่อข่าย Blockchain ของการดำเนินการนั้นไม่ได้มีการผูกมูลค่าให้มีการแปลผันโดยตรงกับการดำเนินการของบริษัทอย่างเช่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยทางบริษัทนั้นได้ดำเนินการให้บริการด้านการสร้างระบบสำหรับการดำเนินการจัดการหักบัญชีระหว่างธนาคาร (Clearinghouse) ในรูปแบบเสมือนแทนที่การดำเนินการแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังได้นำระบบการประมวลผลข้อมูล Blockchain ซึ่งได้ใช้เซิฟเวอร์ของธนาคารแต่ละแห่งนั้นเป็นผู้ประมวลผล (Validator) ภายในเครือข่ายแย่งต่างหากจากกันโดยไม่มีการควบคุมโดยส่วนกลางมาใช้งาน
ทางบริษัท Ripple นั้นได้นำระบบ Consensus สำหรับเครือข่ายแบบใหม่นอกเหนือจากระบบ Proof-of-Work หรือ Proof-of-Stake มาใช้งาน ดังนั้นแล้วทางบริษัทจึงไม่ได้ดำเนินการควบคุมระบบเครือข่าย Blockchain โดยตรง ซึ่งเหตุที่ทำให้มูลค่าของเหรียญนั้นจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของบริษัทเนื่องจากทาง Ripple Lab นั้นได้ถือเหรียญกว่าครึ่งหนึ่งของระบบไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในการดำเนินการให้บริการการชำระเงินระหว่างประเทศดังกล่าว ซึ่งในแต่ละเดือนนั้นมีการนำเหรียญกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญไปใช้งานในระบบดังกล่าว
นอกจากนี้แล้วทางบริษัทยังได้แบ่งรูปแบบการดำเนินการบนเครือข่าย Blockchain ของทางบริษัทออกเป็นสองชั้น โดยในชั้นแรกนั้นเป็นการดำเนินการสำหรับเหล่าธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆสำหรับการดำเนินการจัดการการชำระหนี้ระหว่างธนาคาร (Settlement) ซึ่งในชั้นนี้จะถูกใช้งานโดยเหล่าธนาคารและสถาบันการเงินเท่านั้น ในการดำเนินธุรกรรมระหว่างกันผ่านการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลของทาง Ripple หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ
ในชั้นแรกนี้ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินการแบบระหว่างธุรกิจหรือ B2B นั้นส่งผลให้หน้าที่ได้การตรวจสอบและกำกับดูแลการไหลเวียนของเงินนั้นตกอยุ่กับเหล่าธนาคารและสถาบันการเงินทั้งหลายในการพิจารณาถึงที่มาที่ไปของเงินที่ไหลเวียนเข้าออกระบบผ่านการดำเนินการของธนาคาร จากนั้นแล้วธุกรรมที่ได้รับการตรวจสอบจากเหล่าธนาคารแล้วซึ่งได้รับความมั่นใจว่าเป็นเงินที่สะอาด ปราศจากข้อสงสัยทางกฎหมายใดๆนั้นจะถูกส่งเข้าสู่ระบบเครือข่ายของทาง Ripple และไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบบนเครือข่ายอีกครั้งโดยใช้แพลตฟอร์มอย่าง Chainalysis หรือ Crystal Blockchain แต่อย่างใด
ในชั้นถัดมาของการดำเนินการบนเครือข่าย Blockchain ดังกล่าวนั้นได้เปิดให้ใช้งานแก่เหล่าผู้ใช้ทั่วไปเช่นเดียวกับเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งผู้ใช้นั้นสามารถที่จะดำเนินธุรกรรมได้อย่างอิสระผ่านการซื้อขายเหรียญ XRP ซึ่งมีคุณสมบัติในการดำเนินธุรกรรมโดยไม่ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากการดำเนินการในชั้นก่อนซึ่งใกล้ชิดกับการดำเนินการของเหล่าสถาบันการเงิน ทำให้เครื่อข่าย XRP นั้นได้รับความไว้วางใจในระดับหนึ่งถึงความปลอดภัยและโอกาสที่จะตกเป็นเครื่องมือของอาชญากรรมอย่างการฟอกเงินนั่นเอง
กรณีการดำเนินการของ Ripple รวมทั้งเหรียญ XRP ของพวกเขานั้นจึงแตกต่างจากเหรียญคริปโตอื่นๆ อย่างเหรียญหลักของวงการเช่น Bitcoin นั้นยังได้มีการดำเนินการเบื้องหลังซึ่งไม่ถูกพูดถึงมากนัก โดยกรณีดังกล่าวนั้นได้รับการตรวจสอบและร่วมเปิดโปงโดยเหล่าสื่ออย่าง Bitfinexed, Cryptomedication, Bitsonline, Decrypt หรือแม้แต่สื่อจาก WSJ
เนื้อหาของการตรวจสอบนั้นเกี่ยวกับที่มาของเงินสนับสนุนแก่เหล่านักพัฒนาเครือข่าย Bitcoin ซึ่งปรากฎว่ามีที่มาจากเงินที่ผิดกฎหมายหรือจากบริษัทที่มีชื่อเสียงในแง่ลบต่างๆ นอกจากนี้แล้วการเปิดโปงดังกล่าวนั้นยังรวมถึงการออกมากล่าวถึงความจริงที่ว่าเครือข่าย Bitcoin นั้นถูกควบคุมโดยบริษัทอย่าง Blockstream และตัวบริษัทดังกล่าวนั้นได้ถูกควบคุมโดยบริษัทอย่าง Tether อีกชั้นหนึ่ง
นอกจากนี้แลัวกรณีของเหรียญชื่อดังรองลงมาจาก Bitcoin อย่างเหรียญ Ethereum นั้นยังตกเป็นเป้าของการพูดถึงในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากมีการชี้ให้เห็นว่าเหรียญดังกล่าวนั้นไม่มีการดำเนินการจำกัดปริมาณของเงินทุนสำรองสำหรับเครือข่าย ซึ่งหมายความว่าปริมาณของเงินจำนวนดังกล่าวนั้นจะอยู่ภายใต้การกำหนดของตัวบุคคลอย่างนาย Buterin ผู้ก่อตั้งเหรียญเพียงอย่างเดียว
เหรียญอื่นๆซึ่งได้นำเสนอคุณสมบัติเฉพาะตัวในการสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานหรือผู้ดำเนินธุรกรรมอย่างเหรียญ Monero, Bitcoin Cash และ Ethereum Classic นั้น แม้ว่าจะเป็นการตอบสนองต่อหลักการพื้นฐานของการที่เหรียญคริปโตนั้นถูกสร้างขึ้นมาให้มีความเป็นส่วนตัวจากรัฐฯและปราศจากการควบคุมจากส่วนกลางก็ตาม แต่มันก็กลายเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ใครก็ตามสามารถที่จะใช้ในการฟอกเงินได้
ดังนั้นแล้วในยุคที่เงินนั้นไม่ถูกจำกัดว่าจะต้องมีที่มาจากการออกโดยรัฐบาลเพียงอย่างเดียว เหรียญอย่าง XRP จึงเข้ามาเป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับการดำเนินการซึ่งได้รับการยอมรับตามมาตรฐานของตลาดการเงินและกฎหมาย อีกทั้งยังสามารถเป็นสะพานสำหรับการดำเนินการร่วมกับโครงการอื่นๆอย่างเช่น Libra หรือ TON ในการสร้างโครงสร้างสำคัญแก่ตลาดการเงินแบบใหม่นี้ต่อไปอีกด้วย
ที่มา : Coinspeaker
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น