ในช่วงต้นปี 2020 นี้ นักวิเคราะห์ได้ออกมาคาดการณ์ว่าต้นทุนที่จะใช้เพื่อขุด Bitcoin ต่อ 1 BTC นั้นจะอยู่ที่ราว ๆ 12,000 ดอลลาร์ไปจนถึงราว ๆ 15,000 หลังจากการ halving ในวันที่ 12 พฤษภาคมไปแล้ว ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าต้นทุนในการขุดเหรียญดังกล่าวนั้นจะถูกกว่าที่คาดการณ์ไว้จากในตอนแรกมาก และจุดคุ้มทุนของราคา Bitcoin นั้นอาจทำให้ราคาของเหรียญดังกล่าวร่วงลงไปได้อีกในอนาคต
เมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นต้นทุนในการขุด Bitcoin เริ่มที่จะกลับมาถูกลงอีกครั้งหนึ่ง โดยมีสาเหตุมาจักปัจจัยหลัก ๆ สองปัจจัย ซึ่งก็คือการปรับค่าความยากใหม่ในเครื่อข่าย blockchain และค่าไฟฟ้าที่ถูกลงในมณฑลเสฉวน เนื่องมาจากหน้าฝน
จุดราคาคุ้มทุนของการขุด Bitcoin ที่ต่ำลงอาจทำให้ราคาของมันนั้นลดลงไปอีก เนื่องจากว่านักขุดจะมีแรงจูงใจในการขาย BTC ของพวกเขาที่มากขึ้น และเราอาจจะได้เห็นแรงขายในช่วงระยะสั้น
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมาการ halving ของ Bitcoin ครั้งที่สามนั้นได้เสร็จสิ้นไปอย่างเรียบร้อยดีสำหรับผู้ที่เพิ่งมาใหม่นั้น การ halving คือการที่ Bitcoin จะทำการลดจำนวนเหรียญที่จะเกิดใหม่ต่อวันลงครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 4 ปี
การ halving นั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อ bitcoin อย่างมากเนื่องจากว่ามันมีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น และหากไม่ทำการลดมันลงเรื่อย ๆ เราอาจจะได้เห็นปัญหาเงินเฟ้อในระบบของบิทคอยน์
ด้วยการที่นักขุด Bitcoin นั้นจะได้เหรียญใหม่เป็นการตอบแทน และเหรียญใหม่นี้ก็คือเหรียญที่จะเกิดขึ้นมาในทุก ๆ 10 นาที ดังนั้นการที่มันเกิด halving ขึ้นจะทำให้เหรียญใหม่ที่พวกเขาได้นั้นมีปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิมถึง 50% และนั่นมักจะทำให้นักขุดที่ไม่มีสายป่านที่ยาวพอต้องชักปลั๊กหยุดขุดไปเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากต้นทุนค่าไฟที่แพงเท่าเดิม แต่มีรายได้ที่น้อยลง
เมื่อมีนักขุดในเครื่อข่าย Blockchain ของ Bitcoin น้อยลง เครือข่ายนั้นก็จะทำการปรับค่าความยากในการขุดใหม่เพื่อให้พอดีกับแรงขุดที่มีอยู่
ด้วยการที่นักขุด Bitcoin นั้นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อขุดเหรียญดังกล่าว นักขุด Bitcoin รายใหญ่จึงสามารถที่จะขุดเหรียญเหล่านั้นได้มากกว่ารายอื่น ๆ ทันทีที่ค่าความยากถูกปรับใหม่
โดยเมื่อสามเดือนที่ผ่านมามีการปรับค่าความยากไปแล้วถึงสองครั้ง ส่งผลทำให้นักขุดรายใหญ่สามารถที่จะทำรายได้เป็นจำนวนมากในระยะสั้น
และจุดนี้นี่เองที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาต่อนักเก็งกำไรในตลาด
หลัก ๆ นั้นก็คือนักขุด Bitcoin ในมณฑลเสฉวนของจีนนั้นสามารถที่จะใช้ไฟฟ้าได้โดยมีราคาอยู่ที่ 1.26 บาทต่อกิโลวัตถ์ต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าต่ำมาก ๆ
สาเหตุนั้นมาจากการมาของหน้าฝนในจีนที่ทำให้โรงงานไฟฟ้าพลังน้ำ (ที่ถือเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าหลัก ๆ ในเสฉวน) สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และตามมาด้วยต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ต่ำลง โดยนักขุดในละแวกเสฉวนนั้นเผยว่าพวกเขามักจะสามารถต่อรองราคาไฟฟ้ากับทางโรงงานไฟฟ้าให้ต่ำลงได้ เนื่องจากว่าพวกเขาเป็นลูกค้าประจำ
เมื่อต้นทุนค่าไฟฟ้านั้นต่ำลงถึง 1.26 บาทแล้วนั้นทำให้พวกเขาเผยว่าจุดราคา Bitcoin เพื่อที่จะให้คุ้มทุนในการขุดนั้นสามารถต่ำลงได้ถึง 5,000-6,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 157,450-188,940 บาท) เลยทีเดียว
ซึ่งแม้แต่นักขุดรายย่อยที่ใช้อุปกรณ์ขุดที่ใกล้จะตกรุ่นแล้วอย่าง Antminer S9 ยังมีจุดราคาคุ้มทุนอยู่ที่ 8,206 ดอลลาร์ (258,406) ซึ่งต่ำกว่าระดับราคาของ Bitcoin ในขณะนี้อย่างมาก
“หากจะให้อธิบายแบบละเอียดแล้ว หากค่าความยากในขณะนี้ แต่ขุดด้วยเครื่อง S9 ที่ค่าไฟฟ้าราว ๆ 1.26 บาท/kWh บวกกับเฟริมแวร์แบบปรับแต่งเองสามารถทำให้มันกินไฟได้ที่ 71w ต่อ TH เลยทีเดียว ต้นทุนในการขุด 1 BTC นั้นอยู่ที่ 8,206.64 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่ามันยังขุดได้กำไรอยู่นั่นเอง” กล่าวโดยนักขุดอิสระรายหนึ่ง
หากลองพิจารณาดูแล้วถ้านักขุดรายใหญ่กับรายย่อยมีต้นทุนในการขุดอยู่ที่ราว ๆ 5,000 ดอลลาร์และ 8,500 ดอลลาร์นั้น พวกเขาอาจมีแรงจูงใจที่จะเทขาย Bitcoin ที่ขุดมาได้มากกว่าที่จะนำมันมาถือไว้ในระยะยาว
ข้อมูลจาก ByteTree เผยว่านักขุด bitcoin นั้นไม่ได้ขาย Bitcoin มากนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีราว ๆ 6,825 BTC ที่ถูกขุดขึันมา และมี 6,298 ที่ถูกนำออกไปขาย เหลืออยู่ราว ๆ 527 BTC ที่ยังถูกเก็บไว้อยู่
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมนั้น ข้อมูลบน blockchain เผยให้เห็นว่านักขุด Bitcoin ส่วนใหญ่เทขาย Bitcoin มากกว่าที่พวกเขาขุดขึ้นมาได้
กระนั้นราคาของ Bitcoin ก็ยังดูไม่มีแนวโน้มที่จะขึ้นไปเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะมีการปรับฐานลงมาในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม
ดังนั้นโดยสรุปก็คือต้นทุนในการขุด Bitcoin ที่ถูกลงบวกกับการที่ราคาของ BTC ไม่สามารถวิ่งผ่านแนวต้านสำคัญที่ 10,500 ดอลลาร์ได้นั้นอาจทำให้เราได้เห็นการร่วงลงของราคาได้อีกในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา Forbes