<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 ตัวแปรที่ส่งสัญญาณว่าราคา Ethereum พร้อมทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคา Ethereum (ETH) ไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงตามที่นักลงทุนหลาย ๆ ท่านได้คาดการณ์ไว้หลังจากราคาร่วงลงมาจากระดับ $600 แต่ก็ยังอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างดี เพราะหากเทียบราคาที่ระดับประมาณ $550 กับราคาเมื่อเดือนที่แล้วจะเห็นว่าราคาได้พุ่งขึ้นมาสูงถึง 45% ซึ่งหากเราประเมินจากปริมาณความเคลื่อนไหวและการซื้อขายของ Ethereum จะได้ปัจจัยที่น่าเข้าลงทุนดังนี้

1. ปริมาณการแลกเปลี่ยน ETH ที่น้อยลง

ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนต่าง ๆ กว่า 4.3 ล้าน ETH แสดงให้เห็นถึงความต้องการเข้ามาลงทุนและซื้อขายระยะสั้นในปริมาณที่สูง แต่แนวโน้มปริมาณการซื้อขายนี้ได้ลดลงตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเชื่อว่าราคานี้ไม่เหมาะสมที่จะทำการซื้อขาย และมีแนวโน้มที่ราคาจะพุ่งสูงขึ้น

2. อัตรา Premium ของตลาด Future กลับเข้าสู่อัตราปกติหลังราคาพุ่งขึ้นสูง

หากคาดการณ์จากราคาของตลาด Future เมื่อเทียบกับตลาด Spot แล้วจะเห็นว่าแนวโน้มของราคาน่าจะเป็นตลาดขาขึ้น แม้ว่าตลาดของ Future สำหรับ 3 เดือน จะมีอัตรา Premium อยู่ที่ 1.5% เมื่อเทียบกับราคา Spot ซึ่งจากชาร์ตเห็นว่าในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อัตรา Premium อยู่ที่ประมาณ 2.5% ถึง 4.5% สูงกว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้ราคา Ethereum อาจไม่ได้สูงขึ้นมาก แต่ความเชื่อมั่นว่าจะเป็นตลาดขาขึ้นต่อไปก็ยังคงสูงอยู่

3. การฟื้นตัวของตลาด Spot

ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างต่ำในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งตรงกันข้ามกับการคาดการณ์ที่การซื้อขายควรจะสูงเมื่อราคาเกิดความผันผวน และอาจบ่งชี้ถึงการขาดความเชื่อมั่นในแนวโน้มราคาของ Ethereum แต่หลังจากที่ราคาเริ่มตกลงหลังจากไม่สามารถฝ่าแนวต้านที่ระดับ $600 ไปได้ ปริมาณการซื้อขายก็เริ่มฟื้นคืนกลับมา โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามูลค่าการขายนั้นสูงถึง 2 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

4. อัตราการ Put/Call 

โดยทั่วไปแล้ว Call จะเป็นกิจกรรมการซื้อ และ Put จะเป็นการขายที่เกิดขึ้นในตลาดแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า Call จะเกิดขึ้นมากสำหรับตลาดขาขึ้น และ Put เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะลง ซึ่งใน 30 วันที่ผ่านมาอัตราการ Put/Call สูงสุดอยู่ที่ไม่เกิน 0.95 ซึ่งกล่าวได้ว่าปัจจุบันนักลงทุนยังคงมีแนวโน้มที่ต้องการจะซื้อมากกว่าขายและบ่งชี้ว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นในตลาดขาขึ้นระยะสั้นอยู่

5. สถานการณ์โดยรวมแล้วยังไม่เป็นตลาดขาลง

แม้ว่าราคาที่ขึ้นมาสูงถึง 45% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้วจะทำให้นักลงทุนมีความกังวลอยู่บ้าง แต่หลาย ๆ ปัจจัยก็ยังคงชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มตลาดที่ค่อนข้างคงที่หรือเป็นช่วงขาขึ้นเล็กน้อย โดยหลังจากที่ราคาสามารถทำลายแนวต้าน $540 ไปได้แล้ว ต้องไปดูกันต่อที่แนวต้าน $590 ซึ่งหากไม่สามารถฝ่าไปได้อาจทำให้นักลงทุนต้องกลับมาคิดหนักกันอีกรอบเพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของขาลงที่จะมาถึงก็เป็นได้

ที่มา: cointelegraph