วันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ที่กำลังจะมาถึงนี้ bitcoin กำลังจะมีการเกิด hard fork อีกครั้ง เพื่อเป็นไปตามข้อตกลงเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ชื่อว่า New York Agreement ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการโอน Bitcoin ให้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่แสนจะช้า และค่าธรรมเนียมการโอนแพงมโหฬาร
ตามรายละเอียดของ New York Agreement การ upgrade ระบบ Bitcoin จะมี 2 ขั้นตอน คือ
1. เปิดระบบ SegWit
2. เพิ่ม block size จาก 1MB เป็น 2MB
ซึ่งขั้นตอนที่ 1 นั้นได้ผ่านพ้นไปด้วยดี และการ hard fork ครั้งนั้น พวกเราก็ได้ Bitcoin Cash (BCH) เป็นของแถมมาอีกตัว ซึ่งเกิดจากลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มระบบ segwit เข้าสู่ bitcoin แต่ต้องการใช้วิธีการแก้ปัญหาโดยการเพิ่ม block size จาก 1MB มาเป็น 8MB แทน
ตอนนี้การ hard fork ขึ้นตอนที่ 2 กำลังจะมาถึงนี้ มองผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องที่ดี ว่าพวกเรากำลังจะได้เหรียญฟรีเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เหรียญในนาม B2X เหมือนทุกคนกำลังจะถูกหวยอีกครั้ง
แต่ทว่าความเป็นจริงแล้ว การ hard fork ครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับ bitcoin เลยก็ว่าได้ เนื่องจากการเพิ่ม block size ดังกล่าวโดนคัดค้านอย่างหนักจากนักพัฒนา Bitcoin Core ซึ่งเป็น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการดูแล codebase ของ Bitcoin ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
Bitcoin Core ถึงขั้นประกาศว่า หาก hard fork ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และ B2X กลายเป็น BTC มาแทน BTC เดิม พวกเขาจะยุติการดูแลและพัฒนา Bitcoin ไปเลย
เหตุที่ Bitcoin core ค้านหัวชนฝาอย่างนี้ ก็เนื่องจาก พวกเขาเห็นว่า การเพิ่ม block size จะทำให้ต้นทุนการ run full node ของ bitcoin เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีเพียง miner ที่มีทุนเท่านั้นที่สามารถ เปิด full node ได้ ทำให้ เครือข่ายของ bitcoin อยู่ภายใต้การควบคุมของคนไม่กี่คน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์เดิมของ bitcoin ที่ต้องการเป็นเงินตราที่กระจายศูนย์ ไม่สามารถควบคุมได้โดยคนใดคนหนึ่ง
และที่สำคัญการบรรลุข้อตกลงของ New York Agreement นั้น ไม่ได้เชิญนักพัฒนาของ Bitcoin Core เข้าร่วมแม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นการผิดมารยาทอย่างมาก
ร้ายยิ่งกว่านั้น คือ B2X ที่จะเกิดมานั้น ไม่มีระบบป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการส่ง Bitcoin ข้าม Blockchain ที่อาจเกิดขึ้นได้ (Replay Protection)
นักพัฒนา B2X จงใจที่จะไม่ใส่ code ป้องกัน replay protection เข้ามา โดยพวกเขาอ้างว่านี่คือการ upgrade bitcoin เหรียญที่เกิดใหม่ต้องการมาแทน bitcoin ตัวเก่า และ bitcoin ตัวเก่าควรจะตายลงทันทีเมื่อเหรียญใหม่มาแทนที่
ความคิดอย่างนี้ไม่แตกต่างจากการปล้นเลยแม้แต่น้อย เพราะทันทีที่ hardfork Bitcoin จะแยกเป็นสองสายทันที สายตั้งเดิมและสาย B2X ซึ่งไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าสายไหนจะชนะ และอยู่รอด
ปัญหาของ replay protection จะเกิดทันที เมื่อเราต้องการส่ง BTC ตัวเก่า ไปอีกที่ แต่มันกลับหลงเข้าไปสายของ B2X
เหรียญที่ส่งมีโอกาสจะสูญหายระห่าวงทาง ไปไม่ถึงที่หมาย และอาจกลายสภาพเป็นอีกเหรียญแทน
ทีนี้มันจะมั่วกันหมดทั้ง 2 เหรียญ กลายเป็นปัญหายุ่งเหยิงที่ยากแก่การแก้ไขได้
จึงไม่แปลกใจว่าหลายๆบริษัทเดิมที่เคยเข้าร่วม New York Agreement ได้ถอนตัวออกมา บอกว่าไม่สนับสนุนการ hard fork ครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจึงได้ออกเตือนว่าห้ามโอนย้าย Bitcoin ช่วงเวลาก่อนและหลัง Hard fork เพื่อป้องกันไม่ให้ เงินหาย จนกว่าจะมีวิธีแก้ไขปัญหา
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
ท่ามกลางปัญหายังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง นั่นก็คือ B2X ต้องตายหลังจากที่ hard fork เสร็จ และ Blockchain ของ BTC มี Miner เพียงพอที่จะทำให้อยู่รอด
จากการวิเคราะห์พบว่า เป็นไปได้อย่างมากที่ B2X จะไปไม่รอดหลัง hard fork ซึ่งจะไม่เหมือน hard fork คราวก่อนที่ Bitcoin Cash (BCH) สามารถรอดมาได้ เนื่องจากข้อแตกต่างระหว่าง B2X กับ BCH ก็คือ BCH มี ระบบปรับความยากการขุด (ค่า diff) แบบฉุกเฉินที่เรียกว่า EDA (Emergency Difficulty Adjustment) แต่ B2X ไม่มี
หากท่านยังจำได้ ช่วงแรกที่เกิด hard fork ของ BCH นั้น บรรดา miner แทบขุดเหรียญดีงกล่าวไม่ได้เลย เพราะค่า diff อันสูงลิ่วที่สืบมาจาก BTC แต่ผ่านไปแค่ 12 ชั่วโมงที่ miner ต้องขุดลมไปโดยไม่ได้อะไร ไม่เจอ block แม้แต่ก้อนเดียว ระบบของ BCH ก็สมารถปรับลดค่า diff ลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การขุดง่ายขึ้น เจอ block ไวขึ้น BCH จึงสามารถรอดพ้นจากหายนะมาได้
แต่ครั้งนี้ B2X กลับไม่มีระบบ EDA อย่างว่า จึงเชื่อว่าเมื่อ hardfork จริงๆเกิดขึ้นแล้ว ค่า diff ของ B2X ยังคงสูงลิ่วเหมือน BTC เดิม ทำให้บรรดา miner ที่ลงทุนไปขุด B2X นั้น ต้องขาดทุนมหาศาลตามๆกันไป
ในตลาดของ Bitfinex และ okex ตอนนี้สามารถ Trade B2X ล่วงหน้าได้แล้ว ใน okex จะใช้ชื่อ BT1 แทน BTC เดิม และ BT2 แทน B2X ตอนนี้ราคา BT1 อยู่ที่ 0.88 และ BT2 อยู่ที่ 0.12 ตามลำดับ
หากราคายังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่ง hardfork ก็แสดงว่าผู้คนยอมรับราคา B2X ที่ราคา 0.12 BTC เท่านั่นเอง
หาก miner ไปขุด B2x การขุดได้แต่ละ block พวกเขาจะได้แค่ 12.5 BTC * 0.12 = 1.5 BTC เท่านั้น
แต่ถ้าพวกเขาไปขุด BTC สายเดิม ผลตอบแทนของพวกเขาจะเป็น 12.5 BTC + 2 BTC (ค่าธรรมเนียมการ Confirm) = 14.5 BTC
ผลตอบแทนที่ต่างกันเช่นจะดำเนินการจนกระทั่งการปรับค่า diff ครั้งถัดไป ซึ่งต้องขุดราว 1,152 blocks ซึ่งก็หมายความว่าบรรดา miner ที่ ขุด B2X ต้องขาดทุน (14.5 – 1.5) * 1152 = 14976 BTC ผู้เขียนจึงเชื่อว่า miner คงไม่โง่ที่จะไปขุด B2X ให้ตัวเองขาดทุนมหาศาลเช่นนี้เล่นๆ เมื่อขาด miner สนับสนุน B2X ก็ต้องตายไปในที่สุด
แต่หาก B2X ราคาหลัง Hard fork กลายเป็นตาม BT1 แทน ทีนี้ความวุ่นวายก็จะบังเกิด เพราะ miner จะหันไปขุด B2X แทน BTC เดิม ทีนี้ผลเสียจะตามมามหาศาล เพราะปัญหา replay protection จนทำให้ราคา BTC, B2X ต้องกอดคอกันตกลงไป และอาจเปิดทางให้คู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Etheruem ได้แซงขึ้นมา เพราะเชื่อว่าคนจะเทขาย BTC, B2X ไปซื้อ ETH แทน เพราะมันโอนได้ ไม่มีปัญหา replay protection
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
เพราะฉะนั้น จับตาดูให้ดีๆ hard fork ชี้ชะตานี้ สำคัญยิ่ง อย่ากระพริบตาเชียว
ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนา ขอให้ B2X ตกไปเร็วๆ
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น