<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“ธนาคารกลางจะถือ Bitcoin และ Ethereum ในปี 2018” กล่าวโดย CEO Blockchain

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นาย Peter Smith CEO ของ Blockchain ซึ่งเป็นผู้ให้บริการกระเป๋าสตางค์สำหรับ Cryptocurrency ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายรองจาก Coinbase ระบุว่าธนาคารกลางจะเริ่มถือสกุลเงินดิจิตอลหลัก ๆ เช่น Bitcoin และ Ethereum ในปี 2018 นี้

“ผมคิดว่าปีนี้จะเป็นปีแรกที่เราจะเห็นธนาคารกลางเริ่มถือสกุลเงินดิจิตอลไว้เป็นส่วนหนึ่งของบัญชีงบดุลของพวกเขา โดย Bitcoin นั้นถือเป็น 1 ใน 30 อันดับแรกของสกุลเงินที่หมุนเวียนอยู่ในมือประชาชน (Currency Supply) แล้ว และด้วยความนิยมรวมไปถึงแรงกดดันให้ธนาคารนับ Cryptocurrency เป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนสำรองจะยิ่งเป็นการเร่งให้ราคาของมันสูงขึ้นไปอีกด้วย” นาย Smith กล่าว

ธนาคารกลางบางที่ก็เริ่มถือ Bitcoin แล้ว

ในเดือนธันวาคม 2017 มีรายงานว่ารัฐบาลประเทศบัลแกเรียถือ Bitcoin เป็นจำนวนมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ในบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการยึดในระหว่างการสืบสวนคดีและการปราบปรามผู้ดำเนินการเว็บตลาดที่ผิดกฏหมาย

โดยในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่ของบัลแกเรียได้ทำการยึด Bitcoin ได้เป็นจำนวน 213,519 BTC ซึ่งนับเป็นมูลค่ากว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ (คำนวณจาก 1 Bitcoin เท่ากับ 15,000 ดอลลาร์)

และด้วยการบังคับใช้กฎหมายในการยึด Bitcoin นี้ ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มได้รับ Bitcoin, Ethereum และ Cryptocurrency อื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากตลาดสกุลเงินดิจิตอลมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ Bitcoin ที่มีมูลค่าทางตลาดประมาณ 250 พันล้านดอลลาร์ (อ้างอิงจาก CoinMarketCap) และนักวิเคราะห์คาดว่า Bitcoin จะยังคงพัฒนาและเพิ่มมูลค่าจนสามารถแข่งขันกับตลาดทองคำที่มีมูลค่าที่ 8 พันล้านล้านดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารกลางถือครอง Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ ในตลาดอาจเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ของธนาคาร โดยกว่าสองปีเต็มที่ธนาคารกลางและหน่วยงานภาครัฐชั้นนำทั้งในประเทศจีน ยุโรปและสหราชอาณาจักร ได้เริ่มดำเนินการออก Cryptocurrency ของตนเอง

โดยธนาคารกลางได้ลงทุนเป็นเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์ในการวิจัยและการพัฒนา Cryptocurrency ขึ้นมา แต่จนเวลาผ่านไป 2 ปีก็ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานด้วยความมั่นใจและความมักใหญ่ใฝ่สูงเกินไปโดยไม่นึกถึงความเป็นจริงนั่นเอง

และวัตถุประสงค์ของ Cryptocurrency และเครือข่าย Blockchain นั้นอยู่บนแนวคิด Decentralized กล่าวคือในเครือข่าย Blockchain ผู้ใช้สามารถส่งและรับการชำระเงิน ทำธุรกรรม และส่งข้อมูลแบบ Peer-to-Peer ได้โดยไร้การควบคุมจากธนาคาร

ในอนาคตนั้น ไม่ว่าธนาคารกลางจะเชื่อในเทคโนโลยีที่คอยสนับสนุน Bitcoin หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญแล้ว เพราะด้วยมูลค่าการลงทุนและความปลอดภัยของ Bitcoin เพียงอย่างเดียวที่สามารถที่จะทำให้รัฐบาลได้รับจำนวน Cryptocurrency อย่างมหาศาลแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาเริ่มแสดงสัญญาณที่จะให้ Cryptocurrency พัฒนาไปเป็นสกุลเงินสากลที่จะใช้เป็นทุนสำรอง (Global reserve currencies)

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น