<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

หาก Bitcoin ถูกขุดได้มากกว่า 21 ล้าน BTC อะไรจะเกิดขึ้น ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เป็นที่ทราบกับดีว่า หนึ่งในจุดเด่นของ Bitcoin ที่แบ่งแยกมันออกจากสกุลเงิน Fiat ปกติ และทองคำคือมันมี Supply (จำนวน Bitcoin ทั้งหมดในระบบ) ที่จำกัด พร้อมทั้งระบุชัดเจนไว้แล้วว่าจะมีทั้งหมดเท่าไร

อ้างอิงจาก Whitepaper ของ Bitcoin นั้นจะมีเพียง 21 ล้าน BTC เท่านั้นในโลก ไม่สามารถมีมากกว่านี้ได้ ซึ่งหากมันถูกสร้าง หรือถูกขุดขึ้นมาหมดแล้ว จะหมดเลย ซึ่งเป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของ Bitcoin และเป็นกลไกที่จะทำให้มันเป็นสินทรัพย์ที่จำกัด และหายากมากขึ้นไปอีก

Bug ที่ซ่อนไว้

อ้างอิงจากที่รายงานก่อนหน้านี้ มีผู้ใช้งานพบ Bug ที่ภายในโค้ดของ Bitcoin ที่ซ่อนอยู่เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่ง Bug ดังกล่าวนั้น อาจถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด และสร้าง Bitcoin ได้มากกว่า 21 ล้าน BTC ได้

หลังจากที่ Bug ถูกพบเจอ ชุมชน Bitcoin ต่างตื่นตัว และฮือฮากับข่าวดังกล่าวเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลัวว่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของ Bitcoin

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ Bitcoin จะมี Bug เกิดขึ้น ถึงแม้มันจะเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำยุคแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นเพียงแค่ซอฟต์แวร์หรือโค้ดเท่านั้น ซึ่งการที่จะเกิด Bug ภายในซอฟต์แวร์คือเรื่องปกติ ยังโชคดีที่ Bug ดังกล่าวได้รับการแก้ไขไปแล้วอย่างรวดเร็ว

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

แต่มีคำถามที่ตามมาคือ หากผู้ที่พบ Bug ดังกล่าวไม่ใช่คนแรกที่พบ Bug แต่มีผู้ที่พบก่อน และได้ทำการใช้ช่องโหว่นี้ในการสร้าง Bitcoin ไปแล้วล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น ?

 

ความน่าเชื่อถือที่ลดลง

หากมีผู้ที่สามารถสร้าง Bitcoin ได้มากกว่า 21 ล้าน BTC ได้จริง ๆ สิ่งที่ตามมาคือ ความน่าเชื่อถือในเครือข่าย Bitcoin ที่ลดลง การที่ Bitcoin มีมากกว่า 21 ล้าน BTC ได้ แปลว่าผู้ใช้จะเริ่มคิดแล้วว่า ทุก ๆ อย่างในเครือข่ายนั้น อาจจะไม่ดำเนินไปตามกฎอีกต่อไป

คิดภาพตามง่าย ๆ เช่น ประเทศ A สร้างกฎหมายขึ้นมา แต่ดันมีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นได้ ด้วยการใช้ช่องโหว่อะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ตามมาคือ ประชาชนในประเทศ A ก็จะเริ่มคิดว่า ในเมื่อมีคนสามารถฝ่าฝืนกฎหมายได้ แล้วทำไมพวกเขาต้องเคารพมันด้วย อาจส่งผลให้พวกเขาเริ่มหาช่องโหว่ที่จะฝ่าฝืนตาม หรือย้ายประเทศไปประเทศอื่น ๆ ก็เป็นได้

เช่นเดียวกันกับ Bitcoin เมื่อมีผู้ฝ่าฝืนกฎของมันได้ ผู้ใช้งานก็จะค่อย ๆ เริ่มหมดศรัทธา และอาจหันไปใช้เหรียญอื่น ๆ แทน ที่มีความน่าเชื่อถือ และเทคโนโลยีที่ดีกว่านี้

ซึ่งจากจุดนั้นอาจจะส่งผลให้ Bitcoin มีมูลค่าที่ลดลงเนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจ และลงทุนในมันน้อยลง และเปลี่ยนใจหันไปลงทุนในเหรียญอื่น ๆ เช่น Ethereum จนผลักดันให้มันกลายเป็นเหรียญคริปโตอันดับ 1 ขึ้นไปแทน Bitcoin ก็เป็นได้

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

ปัญหาเงินเฟ้อ

แน่นอนว่า การที่สิ่งใดก็ตามสามารถหาได้ง่าย ขึ้นหรือมีจำนวนมากขึ้น มันย่อมทำให้สิ่ง ๆ นั้นมีมูลค่าที่ลดลง เช่นเดียวกับกรณีเงินเฟ้อที่มักจะเห็นเคสตัวอย่างในอดีตมากมาย จากการผลิตเงินเพิ่มที่มากจนเกินไป เช่นเดียวกับกรณีนี้ หากอนาคต Bitcoin มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น มูลค่าของมันก็จะลดลงเช่นเดียวกัน

ส่งผลลูกโซ่ต่อตลาดคริปโต และเหรียญอื่น ๆ

ในทางกลับกัน ในฐานะที่ Bitcoin ถือเป็นราชาแห่งเหรียญคริปโตต่าง ๆ อ้างอิงจาก Coinmarketcap Bitcoin มูลค่าโดยรวมมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตลาดคริปโตโดยรวม รวมถึงมันยังเป็นหน้าตาของ Cryptocurrency อีกด้วย

ผู้ใช้งานก็อาจจะเลิกมอง และหมดความสนใจคริปโตไปเลยก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้เหรียญคริปโตตัวอื่น ๆ มีมูลค่าที่ลดลงตาม ๆ Bitcoin เพราะมองว่าขนาด Bitcoin ที่เป็นคริปโตอันดับหนึ่งยังมีช่องโหว่ขนาดนี้ได้ และคริปโตอันดับที่รอง ๆ ลงมาก็คงมีเช่นกัน ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เทคโนโลยีที่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป

หนทางแก้ไข

Bug ใน Bitcoin นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ และเคยเกิดขึ้นแล้วหลากหลายครั้ง ซึ่งแน่นอน หากเกิด Bug ที่ใหญ่หลวง และไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีจริง ๆ จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดคริปโตอย่างแน่นอน

สิ่งที่ชุมชนคริปโตควรทำคือช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยของ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่โยนภาระไปให้นักพัฒนา Bitcoin แต่เพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากมันเป็นโค้ดแบบ Open source ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาร่วมพัฒนาได้ หรืออาจจะสามารถแก้ไขได้จากการร่วมมือกันขององค์กรใหญ่ ๆ ที่ทุ่มทุนพัฒนา Bitcoin และจ้างนักพัฒนามาให้มากขึ้น เพราะมีรายงานมาว่าภายในชุมชนของ Bitcoin นั้น ยังเจอปัญหาคอขวดในการรีวิวโค้ดอยู่

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น