<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ความหวังนักเทรดสายกระทิง: ท่ามกลางตลาดหมียังมีโอกาสหลงเหลืออยู่หรือไม่ ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เป็นที่ทราบกันดีว่า ราคาของคริปโตต่าง ๆ ในตลาดนั้นไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนักถึง เนื่องจากพวกมันเข้าสู่ขาลงมายาวนานกว่า 10 เดือนแล้ว คริปโตส่วนมากมีมูลค่าลดลงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์โดยเฉพาะ Altcoins ที่มีขนาดเล็ก เพราะเกิดจากการเทขายและหันไปถือคริปโตสกุลหลัก ๆ แทน

นักลงทุนที่เข้ามาในปี 2017 ส่วนใหญ่ล้วนพบกับการติดดอยทั้งนั้น เนื่องจากตลาดกระทิงอย่างบ้าคลั่งในปีนั้น การถือหรือ HODL คริปโตไว้เฉย ๆ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้หลาย 10 เท่าแล้ว แต่ในปี 2018 ที่เป็นขาลงอย่างรุนแรงทำให้ไม่กล้าขายขาดทุนกัน

มาถึงจุดนี้ นักลงทุนคงเริ่มทราบกันแล้วว่า หากยังใช้กลยุทธ์ลงทุนเดิม ๆ ในปี 2017 นั้นจะพบกับการขาดทุนย่อยยับแน่ ๆ ในปี 2018 หากไม่ปรับตัวรับรองเลยว่า จะไม่สามารถอยู่รอดในตลาดนี้ต่อไปแน่นอน ถึงแม้ขาลงในรอบนี้จะดูรุนแรง แต่หากมองอีกมุมหนึ่งแล้ว จริง ๆ มันมีโอกาสมากมายซ่อนอยู่

การคัดเลือก

ตลาดขาลงนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบสร้างความยากลำบากแค่นักเทรดคริปโตเท่านั้น มันยังมีผลต่อไปยังโปรเจกต์คริปโตต่าง ๆ เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ของพวกเขาอยู่ในรูปแบบคริปโต เมื่อราคาของคริปโตรร่วงลง เงินที่สำรองไว้เพื่อต่อยอดโปรเจกต์เลยลดลงไปด้วย

ยกตัวอย่างเช่น โปรเจกต์ Steemit ที่เป็น Social Media แบบ Decentralized ซึ่งมีมูลค่าโดยรวมอยู่อันดับที่ 48 ของตลาดคริปโต ได้ทำการไล่พนักงานออกไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์เพื่อลดต้นทุน และทำการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด สร้างความตกใจให้กับวงการคริปโตเป็นอย่างมาก

นอกเหนือจากโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่พบกับความยากลำบากแล้ว ฝั่งของนักขุดเองก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน มีเหมืองขุดคริปโตจำนวนมากได้ทยอยหยุดขุดชักปลั๊กกันไป สังเกตได้จากช่วงแรก ๆ ที่ Cloud Mining เช่น Genesis Mining, Hashflare และ Hashnest เป็นต้น

มีข้อมูลจาก Pool ขุดคริปโตที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลก รายงานอีกด้วยว่า มีเครื่องขุด Bitcoin ชักปลั๊กหรือหยุดขุดไปกว่า 600,000 ถึง 800,000 เครื่อง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ข้อมูลทั้งหมดนี้อาจเป็นสัญญาณบอกว่า ไม่ว่าจะเจ้าใหญ่แค่ไหนแต่เมื่อเจอกับตลาดขาลงต่างก็มีโอกาสล้มหายตายจากไปทั้งนั้น แต่สิ่งที่แฝงอยู่คือ มันจะค่อย ๆ เผยออกมาว่า โปรเจกต์ใดมีพื้นฐานที่ดี มีเงินทุนสนับสนุนเยอะที่จะทนต่อสภาพขาลงได้ โดยที่ยังดำเนินการได้ปกติ

การร่วงลงของราคาครั้งนี้เปรียบเสมือนการกรองโปรเจกต์แย่ ๆ ให้ล้มหายไป เหลือไว้แต่โปรเจกต์ดี ๆ ที่มีความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งราคาไม่มีผลกระทบต่อพวกเขามากนัก เนื่องจากโปรเจกต์เหล่านั้นก็ยังทำหน้าที่ของพวกเขาและตั้งใจพัฒนาต่อไปไม่ล้มเลิก เรียกได้ว่า มีพื้นฐานที่ดีในระดับหนึ่ง

โอกาส

ในตอนนี้ มีโปรเจกต์ดี ๆ มากมายที่มีราคาลงมาต่ำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จากุดสูงสุดที่เคยทำได้ เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนสามารถเริ่มทยอยเข้าซื้อตัวที่มีพื้นฐานดี ๆ ได้ แต่ก็อย่าลืมว่า การบริหารเงินยังคงสำคัญอยู่ ห้าม All-in ให้แบ่งไม้ซื้อเรื่อย ๆ กำหนดจุดในการซื้อจากแนวรับแนวต้านสำคัญ ๆ

อย่าลืมว่า ตอนนี้ตลาดยังคงมีทิศทางขาลงอยู่ ถึงแม้มันจะลงมามากแล้วก็ตาม หากมันทะลุแนวรับสำคัญ ๆ อย่างระดับ 3,000 ดอลลาร์ ก็มีสิทธิไหลยาวลงไป 2,000 ดอลลาร์ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มีโอกาสอยู่เช่นกันที่ตลาดคริปโตจะกลับมาในปี 2019 มีประกาศจาก VanEck และ Nasdaq ตลาดหุ้นอันดับที่ 2 ของโลกจับมือกันเพื่อที่จะเปิดตลาดคริปโต Futures ซึ่งเผยว่าจะเปิดให้ซื้อขายในไตรมาสแรกของปี 2019

นอกจากนี้ ยังมี Bakkt ที่เป็นผลิตภัณฑ์ Bitcoin Futures เช่นกันแต่เป็นของ ICE ซึ่งเป็นตลาดหุ้นระดับโลกเช่นกัน โดย Bitcoin Futures นี้จะแตกต่างกับ Futures อื่นตรงที่มันเป็น Physical กล่าวคือมีการซื้อขาย Bitcoin ในตลาดจริง ๆ ไม่ใช่ซื้อขายกันเฉย ๆ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นสัญญาณชี้ว่า กำลังจะมีเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาในตลาดคริปโตจากนักลงทุนสถาบันที่จะสามารถเริ่มลงทุนได้อย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีช่องทางการลงทุนที่ถูกกฎหมาย สถาบันบางที่จึงไม่สามารถเข้าลงทุนได้

การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้ Bitcoin มีราคาไปแตะจุดสูงสุดในระดับ 19,500 ดอลลาร์ หลังจากที่ CFTC อนุมัติให้ CBOE และ CME สามารถขาย Bitcoin Futures ได้เมื่อธันวาคม 2017 ผนวกเข้ากับช่วงนี้ที่สามารถสังเกตโปรเจกต์ที่มีพื้นฐานดีได้ไม่ยาก และราคาของ Bitcoin รวมทั้ง Altcoins หลาย ๆ ตัวก็ร่วงมาหนักแล้วด้วย ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสอันเหมาะที่จะเริ่มวางแผนลงทุนคริปโตก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมไปว่า ตลาดยังสามารถลงมากกว่านี้ได้อีกเสมอ

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น