<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 การกระทำของรัฐบาลทั่วโลกที่ส่งผลดีต่อราคาของ Bitcoin

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

มาตรการและการกระทำต่าง ๆ ของรัฐบาลทั่วโลกนั้นได้เริ่มให้เห็นว่าผู้คนทั่วไปนั้นควรมีสิทธิ์ที่จะควบคุมเงินของพวกเขาได้เอง และนี่คือ 4 เหตุการณ์ของรัฐบาลทั่วโลก ที่ส่งผลดีต่อ Bitcoin

เงินที่คุณถืออยู่เป็นของคุณจริงหรือไม่? หากลองดูจากข่าวจากหลาย ๆ แห่งทั่วโลกแล้วดูเหมือนว่ารัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศนั้นกำลังปรับเปลี่ยนนโยบายด้านการเงินที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศอย่างมาก และในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวเหล่านี้ได้มีความเกี่ยวข้องกับ Bitcoin และ cryptocurrency อื่น ๆ ด้วย และนี่ก็คือ 4 เหตุการณ์ที่เราได้เห็นกัน

รัฐบาลตุรกีใช้อำนาจอายัดบัญชีธนาคารกว่า 3 ล้านบัญชี

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่ารัฐบาลตุรกีนั้นได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะทำการอายัดบัญชีธนาคารของประชาชนหรือบริษัทที่ยังไม่ได้จ่ายภาษีหรือมีหนี้สินที่ยังค้างไว้นาน โดยจะมีผู้คนทั่วไปกว่า 2.5 ล้านคนในประเทศที่ยังไม่ได้จ่ายภาษีที่จะถูกอายัดบัญชี ในขณะที่อีกประมาณ 800,000 คนที่มีหนี้ค้างไว้ก็จะถูกอายัดบัญชีด้วยเช่นกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้คนจึงเริ่มหันมาถือเหรียญ cryptocurrency กันมากขึ้น

เงินหมดธนาคารและตู้ ATM ในฮ่องกง

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าตู้ ATM บางส่วนในฮ่องกงนั้นเริ่มไม่มีเงินสดเหลือเพียงพอเพื่อจ่ายให้กับผู้กดเงินแล้ว โดยเฉพาะตู้ ATM ของธนาคาร HSBC หลายตู้ที่ว่างเปล่า ทำให้ประชาชนหลายคนไม่สามารถถอนเงินสดออกมาได้ สาเหตุดังกล่าวนั้นเหิดขึ้นจากการที่ประชาชนในฮ่องกงหลายคนกลัวว่ารัฐบาลจีนนั้นกำลังจับตาเฝ้าดูพวกเขาผ่านการใช้เงินจับจ่ายใช้สอยทางดิจิทัล จึงทำให้ก่อนหน้านี้ผู้คนแห่ถอนเงินสดออกมากันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ก่อนหน้านี้ยังมีรายงานว่าโวลุ่มการซื้อขาย Bitcoin ผ่านทาง OTC ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ธนาคาร PMC Bank ในอินเดียถูกสั่งให้ออกคำสั่งห้ามถอน

ธนาคารกลางแห่งประเทศอินเดียได้ออกมาสั่งให้ธนาคาร PMC Bank จำกัดการถอนเงินออกจากบัญชี เนื่องจากว่าในขณะนี้มีการสืบสวนสอบสวนอยู่ โดยในขณะนี้ลูกค้าของธนาคารสามารถที่จะถอนเงินได้ไม่เกิน 1,000 รูปีเท่านั้น นอกจากนี้ธนาคารยังถูกสั่งห้ามไม่ให้บริการปล่อยกู้, ให้บริการนักลงทุน หรือยืมเงินใด ๆ ได้ทั้งสิ้นอีกด้วย และก็ห้ามไม่ให้มีการฝากเงินเข้ามาในธนาคารด้วยเช่นกัน โดยจะกินเวลาเป็นประมาณ 6 เดือน และก็ตามที่คุณคิดไว้ ว่าเจ้าของบัญชีในธนาคารดังกล่าวนั้นจะต้องรู้สึกเดือดดาลเพียงใด เมื่อพวกเขารู้ว่าเงินที่พวกเขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงต้องถูกห้ามถอนออกมา

ธนาคารกลางยุโรปทำ QE

นาย Mario Draghi ประธานของธนาคารกลางแห่งยุโรปกล่าวว่าทางพวกเขานั้นจะเริ่มทำ quantitative easing (QE) หรือเสกเงินเพิ่มขึ้นมากลางอากาศแล้วนั่นเอง อ้างอิงจาก Forbesโดยอัตราการฝากเงินของธนาคารในตอนนี้เริ่มมาถึงจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์แล้วที่ -0.5% นอกจากนี้เศรษฐกิจในยูโรโซนก็เริ่มที่จะชะลอตัวแล้ว นั่นหมายความว่าการพิมพ์เงินเพิ่มของธนาคารกลางนั้นจะเข้ามากระตุ้น demand ของผู้คนในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น นอกจากนี้ธนาคารกลางอื่น ๆ อย่าง Federal Reserve ก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันด้วย และทุกคนก็รู้ดีว่าการที่มีธนบัตรหมุนเวียนเพิ่มเข้ามาในระบบนั้นย่อมหมายถึงอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเอง

ไทยอาจมีการตรวจสอบคนที่มีการโอนเงินกว่า 50,000 บาทข้ามประเทศทุกราย

ข่าวที่มาแบบเงียบ ๆ แต่ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวและสิทธิส่วนบุคคลสูงมากขึ้นในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการที่คณะรัฐมนตรีในไทยเห็นชอบให้มีการปรับแก้หลักเกณฑ์การตรวจสอบ ให้มีการตรวจสอบลูกค้าธนาคารที่มีการโอนเงินกว่า 50,000 บาทข้ามประเทศทุกราย นั่นหมายความว่าหากคุณต้องการโอนเงินให้กับญาติพี่น้องของคุณที่อยู่นอกประเทศ (หรือกลับกัน) ที่มากกว่า 50,000 บาทแล้วล่ะก็ ธุรกรรมดังกล่าวจะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดทันที และความเป็นส่วนตัวของคุณก็จะถูกริดรอนหายไปจนหมดสิ้น

ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนอะไรมากสำหรับผู้ใช้งาน Bitcoin หรือ Cryptocurrency จนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เนื่องจากว่าการทำธุรกรรมผ่าน blockchain นั้นจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้กับพวกเขาในระดับพรีเมียม อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ต่ำและใช้เวลาโอนเงินระหว่างประเทศที่รวดเร็วในระดับวินาทีอีกด้วย

ด้วยสาเหตุเหล่านี้เองจึงทำให้ประชาชนที่โกรธรัฐบาลของพวกเขาอาจหันมาใช้ Bitcoin หรือคริปโตกันมากขึ้นในอนาคต และเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ก็ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น, เร็วขึ้น และใช้งานง่ายขึ้นในทุก ๆ ปีอีกด้วย

แล้วคุณล่ะ คิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลทำให้ผู้คนหันมาใช้คริปโตกันมากขึ้นไหม?

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น