การ Halving ครั้งต่อไปจะมาถึงในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นจะส่งผลให้รางวัลการขุดเหรียญ Bitcoin ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ต่อเนื่องเป็นการลดปริมาณความสามารถในการผลิตเหรียญลงด้วยนั่นเอง โดยการ Halving ครั้งนี้จะลดค่าตอบแทนบล็อคของ Bitcoin จาก 12.5 เหรียญเป็น 6.25 เหรียญ ซึ่งหลายๆคนในตลาดนั้นก็ได้ตั้งความหวังไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นจะส่งผลดีกับราคาของ Bitcoin
เหตุการณ์ซึ่งเป็นที่รอคอยนี้ได้ตกเป็นหัวข้อหลักของการถกเถียงประจำวงการถึงความเป็นไปได้ที่จะตามมาหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวต่อราคาของเหรียญ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วนั้นจะพบว่าการ Halving ล้วนส่งผลดีต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของเหรียญดังกล่าวทั้งสิ้น การ Halving ที่ผ่านมา 2 ครั้งทำให้ราคา Bitcoin ทำสถิติใหม่ตลอดกาลหรือ All time high ในการ Halving ครั้งแรกราคา Bitcoin ทำสถิติใหม่เมื่อมันขึ้นไป 9,260 ดอลลาร์ภายใน 367 วันหลัง Halving ส่วนในครั้งที่สองมันสูงทำสถิติตอน 526 วันหลัง Halving เมื่อราคามันขึ้นไปมากกว่า 2,976 เปอร์เซ็น
นักลงทุนเมื่อดูข้อมูลสถิติทั้งสองครั้งในอดีตแล้วก็ล้วนเชื่อกันถ้วนหน้าว่า Halving ครั้งหน้าจะทำให้ Bitcoin เพิ่มขึ้นไปเกิน 1,000 เปอร์เซ็นโดยที่ไม่สนใจปัจจัยอื่นๆ เช่นในตอนนั้น Bitcoin อาจจะได้รับผลดีจากตลาดเงินปกติที่อ่อนตัวลง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามมีตัวชี้วัดที่ใช้การคำนวณแบบเทคนิคมาช่อยสนับสนุนความเชื่อของนักลงทุนถึง 3 ตัว ซึ่งได้แก่กราฟ Moving Average (MA), Altman Model (Z-score) และ Reserve Risk Model ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. Moving Average (MA)
ตัวชี้วัดแบบ Moving Average (MA) คือการคำนวณค่าเฉลี่ยของเทรนด์ราคา Bitcoin มันคำนวณราคาของ Bitcoin ในอนาคตโดยอ้างอิงจากสถิติราคาในอดีตเป็นปัจจัยหลัก
ตัว Moving Average (MA) ถูกออกแบบมาหลายรูปแบบ ตั้งแต่ MA แบบกราฟ 5 วัน/ 10 วัน/ 30 วัน/ 60 วัน/ 120 วัน/ 240 วัน ดังนั้นแล้วนักลงทุนสามารถใช้พวกมันประกอบกันเพื่อคำนวณเทรนด์ราคาในระยะสั้น กลาง หรือยาวก็ได้
ตัวชี้วัด Moving Average (MA) บ่งบอกช่วงเวลาในการซื้อ Bitcoin ที่จะได้ผลตอบแทนสูงมากในเหตุการณ์ Halving ทั้งสองครั้งที่ผ่านมา เห็นได้ว่าเมื่อราคา Bitcoin ร่วงลงไปต่ำกว่าเส้นสีเขียว (MA แบบ 2 ปี) ถ้านักลงทุนเข้าซื้อในช่วงนี้พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลในอนาคตเมื่อราคา Bitcoin พุ่งเหนือเส้นสีแดง (MA แบบ 2 ปี x 5) มันบอกว่าราคาในช่วงนั้นคือช่วงเวลาทองของ Bitcoin
นอกจากนั้นแล้วมันยืนยันว่าในช่วงหลังการ Halving ทุกครั้ง ตลาดจะแปรผันอย่างมาก ราคาจะขึ้นไปสูงอย่างรวดเร็วเพราะการตื่นตัวของตลาด และในแต่ละครั้งราคา Bitcoin จะอยู่ในพื้นที่สีเขียว 1 ปีก่อนการ Halving และหลังจากนั้นมันจะเริ่มสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับการ Halving ที่จะถึงเร็วๆ นี้จะพบว่าช่วงที่ดีที่สุดในการซื้อ Bitcoin นั้นคือช่วงตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2018 จนถึงเมษายน 2019 ซึ่งผ่านมาแล้ว ในตอนนี้ไม่แน่ว่าเราอาจจะเข้าสู่พื้นที่สีเขียวอีกครั้งก็เป็นได้
2. Altman Model (Z-score)
ตัวชี้วัด Altman Model (Z-score) คำนวณราคา Bitcoin จากปริมาณ transaction ของผู้บริโภค (C2C) มันมีข้อดีตรงที่เป็นตัวชี้วัดที่แม่นยำในด้านการทำนายราคาสถิติสูงสุดของเหรียญนั้นๆ
ข้อมูลของ BTC.com สนับสนุนตัวชี้วัด Altman Model (Z-score) เพราะมันบอกว่าในวันที่ 3 มกราคม 2020 นักลงทุนรายใหญ่จำนวน 0.000349% ของนักลงทุนทั้งหมดครอง Bitcoin ในตลาดถึง 15.14 เปอร์เซ็น ตลาดที่ยังคงเหลื่อมล้ำแสดงว่าราคาในตลาด (market value) สามารถบ่งบอกราคาขายของ Bitcoin ได้ การคำนวณแบบ Z-Score จึงใช้ความแตกต่างระหว่างราคาขาย (Fair value) กับราคาในตลาดเพื่อคาดการณ์ว่าราคา Bitcoin ในตอนนั้นมีมูลค่าสูงหรือต่ำโดยสัมพัทธ์กับราคาขายในตลาด
ซึ่งตัว Z-Score เผยว่าถ้าราคาตลาดสูงกว่าราคาขอยจนผิดปกติมันจะเข้าสู่พื้นที่สีแดงซึ่งบ่งบอกว่า Bitcoin เข้าสู่จุดตันของตลาดแล้ว ในทางตรงกันข้าม Z-Score จะอยู่ในพื้นที่สีเขียวถ้าราคาขายสูงเกินกว่าราคาตลาดซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคา Bitcoin ในตอนนี้อยู่ในจุดต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว ในตอนนี้กรา Altman Model (Z-score) บอกว่า Bitcoin กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่สีเขียว (ต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้)
3. Reserve Risk
ตัวชี้วัด Reserve Risk คือตัวชี้วัดที่คำนวณราคา Bitcoin จากปริมาณผู้ถือ Bitcoin ในระยะยาวและระยะสั้น มันมีตัวชี้วัดสำคัญที่เรียกว่า Bitcoin-days ซึ่งก็คือจำนวนวันที่ผู้คนหนึ่งซืื้อ Bitcoin มาเก็บไว้และขายไป สมมุติเช่นถ้าเราซื้อ Bitcoin มาและขายไปใน 7 วัน เราจะมี Bitcoin-days ที่ 7 วัน ถ้า Bitcoin-days ในช่วงไหนมีระยะสั้นมากกว่ายาวแสดงว่าปริมาณผู้ลงทุน Bitcoin ในระยะยาวมีน้อยลง บ่งบอกว่าความเสี่ยงในการถือ Bitcoin มีมากขึ้น
กราฟ Reserve Risk เทียบปริมาณ Bitcoin-days ที่แตกต่างกันและดูว่ามันเคลื่อนไหวแบบใดถ้าราคาขึ้นหรือลง เมื่อทำเช่นนี้กราฟจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าถ้าปริมาณ Bitcoin-days ต่างๆ กำลังเคลื่อนไหวแบบนี้ราคา Bitcoin จะเป็นเช่นไร ระยะเวลา Bitcoin-days ที่ถูกนำมาเทียบจะมีตั้งแต่ 1 วัน 7 วัน จนถึง 3-5 ปี
การถือแบบระยะสั้นบ่งบอกอุปสงค์ (demand) ที่สูงขึ้น ในขณะที่ระยะยาวบ่งบอกอุปทานที่มากขึ้น จากสถิติกราฟ Reserve Risk บอกว่าราคา Bitcoin ที่พุ่งสูงทุกครั้งเป็นผลมาจากอุปสงค์ใหม่ๆ ที่เพิ่มมาในตลาด
ผลแสดงให้เห็นว่าราคา Bitcoin ที่พุ่งขึ้นสัมพันธ์กับจำนวน Bitcoin ที่ถูกถืออยู่ในตลาด
ทรัพย์สินที่ถูกถือในระยะเวลาต่างกันเรียกว่า HODL Bank ค่า Reserve Risk นั้นจะเคลื่อนตัวตรงข้ามกับ HODL Bank แต่มันจะเคลื่อนตัวเหมือนกับราคา Bitcoin ทำให้มันหมายความว่าถ้ามี Bitcoin ถูกเก็บไม่ขายมากแค่ไหนค่า Reserve Risk ก็จะยิ่งน้อยเท่านั้น สูตรจึงเป็น
Reserve Risk = ราคา Bitcoin / Hodle Bank
ตาราง Reserve Risk แสดงว่าทุกครั้งที่ปริมาณความเสี่ยงเข้าสู่ช่วงสีแดง ราคาตลาดจะอยู่ในจุดสูงสุด ถ้ามันเข้าสู่พื้นที่สีเขียวจะเป็นสัญญาณบอกว่าเป็นช่วงที่ดีในการเข้าซื้อ Bitcoin ซึ่งในปัจจุบันนี้ราคา Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงพื้นที่สีเขียวซึ่งเป็นสัญญาณดีนั้นเอง
กราฟทั้งสามยืนยันพร้อมๆ กันว่าราคา Bitcoin ถือเป็นช่วงที่เหมาะแก่การลงทุน และมันยืนยันอีกว่าการ Halving จะทำให้ราคาขึ้นแต่มันจะไม่ใ่ชการขึ้นแบบทันที มันจะเป็นการขึ้นระยะยาวที่กินเวลายาวนานเป็นปี ดังนั้นแล้วนักลงทุนที่หวังกำไรมากคงต้องใจเย็นรอจนถึงปี 2022
แต่ก็มีอีกการวิเคราะห์อีกจำนวนมากที่เห็นว่าการ Halving จะไม่ได้ทำให้ราคา Bitcoin สูงขึ้น เมื่อวันที่ 19 ธันวามคม 2019 ทาง Bloomberg สำนักข่าวเศรษฐกิจชื่อดังระดับโลกรายงานว่าเหตุการณ์ Halving อาจจะทำให้เกิดตลาดขาลงครั้งใหญ่ตรงข้ามกับความเชื่อของคนหลายๆ คนที่เชื่อว่ามันจะทำให้ราคา Bitcoin พุ่งมากขึ้นหลายเท่าตัว ทาง Bloomberg กล่าวว่าถ้าราคา Bitcoin ไม่สามารถขึ้นหลังจากการ Halving ทันทีได้ นักลงทุนจะเกิดอาการกลัวหมู่และเทขาย Bitcoin จนราคาต่ำลง เพราะมันคือปรากฎการณ์ที่มีชื่อว่า “ซื้อตอนข่าวลือ ขายตอนข่าวจริงมา”
“ถ้าปัจจัยที่จะทำให้ราคาขึ้นไม่ส่งผลจริง มันมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความรู้สึกเศร้าและการเทขาย”
ส่วนความคิดเห็นอีกฝั่งของตลาดออกมากล่าวว่าราคา Bitcoin หลังการ Halving นั้นถูกคาดการณ์ไว้หมดแล้วโดยกลุ่มนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง ตัวอย่างเช่นนักวิเคราะห์ผู้ซึ่งมักจะใช้โมเดลการวิเคราะห์แบบ Stock-to-flow อย่างนาย PlanB ได้ออกมาชี้ให้เห็นว่าการคาดการณ์ราคาหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นได้ถูกตั้งไว้อย่างแล้ว โดยเขาได้กล่าวว่าผู้คนเพียง 10% ในตลาดเท่านั้นที่เข้าใจการคำนวนเบื้องหลังโมเดลดังกล่าว
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น