<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

10 ข้อที่นักเทรด Bitcoin ควรเรียนรู้จากการร่วงลงของราคาน้ำมันฟิวเจอร์จนติดลบ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลายคนกำลังสงสัยกันว่าสัญญาซื้อขายน้ำมันฟิวเจอร์ของสหรัฐที่ได้ร่วงลงจนติดลบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกับ bitcoin ?

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาทำให้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ จนทำให้ความต้องการด้านพลังงานร่วงลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัจจุบันไม่มีใครที่ต้องการใช้พลังงานในช่วงเวลานี้

ในขณะที่ถังเก็บน้ำมันเริ่มถูกเก็บจนแทบจะเต็มโรงงานและบังคับให้เหล่านักเทรดฟิวเจอร์ต้องเสียค่าใช้จ่ายพิเศษสำหรับการส่งมอบน้ำมันกายภาพ สิ่งนี้ส่งผลให้ราคาร่วงลงทันทีในเวลาต่อมา สัญญาฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบในเดือนพฤษภาคม West Texas Intermediate crude ที่เพิ่งได้หมดอายุลงในวันอังคารส่งผลทำให้ราคาร่วงลงไปแตะระดับ 37.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากราคาที่เป็นบวกประมาณ 30 ดอลลาร์ในวันศุกร์ สัญญาฟิวเจอร์ในเดือนมิถุนายนร่วงลดลง 15% สู่ระดับ 21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้หุ้นน้ำมันร่วงลงกว่า 60% ในปีนี้

ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลง 3.5% ในวันจันทร์สู่ระดับ 6,900 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ค่อนข้างรุนแรงสำหรับตลาดคริปโตที่มีความผันผวน 

โดยทางสำนักข่าว CoinDesk ได้รวบรวมมุมมองของเหล่านักเทรด , นักวิเคราะห์และผู้บริหารตลาดคริปโตเพื่อแบ่งปันมุมมองของพวกเขาให้เราได้ทราบกันในบทความนี้

1) ในระยะสั้นราคาน้ำมันที่ร่วงลดลงจะเป็นภาวะเงินฝืด ผู้ขับขี่รถยนต์จะใช้เงินน้อยลงในการจ่ายค่าน้ำมัน สายการบินจะจ่ายเงินสำหรับต้นทุนค่าน้ำมันของเครื่องบินน้อยลง ผู้ผลิตพลาสติกก็จะเริ่มเห็นต้นทุนการผลิตที่ลดลง แต่สำหรับ bitcoin ทุกคนจะเริ่มมองมันเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากความผิดพลาดของราคาน้ำมันและเป็นสัญญาณที่เตือนว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์นั้นจะเป็นอย่างไร

“หากคุณต้องการใช้ bitcoin เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ สิ่งทั้งหมดนี้จะสร้างแรงกดดันต่อ bitcoin ด้วยเช่นกัน” นาย John Todaro ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ TradeBlock กล่าว “เงินดอลลาร์ตอนนี้แข็งค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ตัวอื่น ๆ ทั้งหมด” 

2) ในฐานะที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ bitcoin นั้นแตกต่างกับน้ำมันโดยสิ้นเชิง เพราะน้ำมันนั้นจะมีเรื่องของการส่งสินค้าทางกายภาพเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นเดียวกับทองคำ  ซึ่งนั่นทำให้ต้องมีการส่งมอบทางกายภาพหลังจากหมดอายุสัญญาในตลาดฟิวเจอร์ แตกต่างกับ bitcoin ที่ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ในการส่งมอบทางกายภาพ

“ตลาดน้ำมันเป็นอีกหนึ่ง ระบบมรดกที่ไม่มีประสิทธิภาพ” นาย Jeff Dorman หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ  Arca Funds กล่าว “ความจริงที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการส่งมอบน้ำมันบาร์เรลทางกายภาพ ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าระบบนี้เหมือนหลาย ๆ ระบบที่ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์และต้องการการเปลี่ยนแปลง” 

3) ท่ามกลางความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและตลาดในปีนี้ บทวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  โดยนักวิจัยที่แคนซัสซิตี้สาขาของธนาคารกลางสหรัฐระบุว่าในอดีตพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอายุ 10 ปีทำงานได้ดีในฐานะสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่าง “สม่ำเสมอ” , ทองคำ “นาน ๆ ครั้ง” และ bitcoin “ไม่เคยเลย” แต่จนถึงปีนี้ราคา bitcoin ลดลงเพียง 3.8% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐของ Fed ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 12% แต่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐกลับลดลงถึง 13% จากความผิดพลาดของราคาน้ำมันทำให้ Bitcoin ดูมีเสถียรภาพมากกว่าเมื่อมีการเปรียบเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด

“สำหรับใครหลายคนที่กำลังกล่าวหาว่ากรณีการใช้งาน bitcoin นั้นเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถเก็บมูลค่าได้ในช่วงวิกฤตนั้น ผมขอแย้ง” นาย Mati Greenspan ผู้ก่อตั้งบริษัทการแลกเปลี่ยนเงินตรงระหว่างประเทศ Quantum Economics เขียนอีเมลถึงลูกค้า   

4) แอปพลิเคชั่นกองทุนซื้อขาย bitcoin อาจเปรียบเทียบได้ดีกับกองทุนน้ำมัน ETF  ราคา Bitcoin ได้ร่วงลดลงกว่า 40% ในวันที่ 12 มีนาคม เนื่องจากนักลงทุนและนักเทรดในตลาดการเงินทั่วทุกหนแห่งล้วนแต่แปลง Btc เปลี่ยนไปเป็นเงินสด ความผันผวนดังกล่าวทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐปฏิเสธที่จะอนุมัติกองทุนซื้อขาย Bitcoin ETF (นอกเหนือจากความผันผวนที่สูงแล้ว ตลาดยังได้รับผลกระทบจากข้อกล่าวหาที่ว่ามีการปั่นราคาตลาดอีกด้วย) แต่ตลาดน้ำมัน ตรงกันข้ามกลับกองทุนน้ำมัน ETF ที่ได้รับอนุมัติแล้วหลายแห่งและมีการดำเนินงานภายใต้เงาของ OPEC กลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศสำหรับผู้ผลิตน้ำมันที่พยายามกำหนดราคาให้ผ่านโควต้าการส่งออก ซึ่งความผันผวนของตลาดน้ำมันที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเหตุผลบางประการในการชะลอการอนุมัติ bitcoin ETF ออกไป

“Bitcoin ETF มีความผันผวนมากเกินไป แล้วกองทุนน้ำมัน ETH ล่ะไม่มีหรือ ?” นาย Juthica Chou อดีต CEO ของ บริษัท LedgerX โพสต์ในทวีตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

5) มีแนวโน้มว่าผู้ผลิตน้ำมันจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากขึ้น รวมถึงการปล่อยสินเชื่อฉุกเฉินของธนาคารกลาง เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นการเบี้ยวนัดชำระหนี้ก็น่าจะพุ่งสูงขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงาน ธนาคารอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียสินเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้นและตลาดตราสารหนี้อาจจะต้องสั่นคลอน นาย John Williams ประธาน Fed แห่งรัฐนิวยอร์ก ได้กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าเขาและเพื่อนร่วมงานของเขา “จะอุทิศตนเพื่อทำทุกอย่างภายในอำนาจของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการทำงานของภาคตลาดการเงินและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้น” แต่มันยังไม่ชัดเจนว่า Fed จะแก้ไขปัญหาตลาดน้ำมันอย่างไร ซึ่งจากการยืนยันของเจ้าหน้าที่ของเฟด มันเป็นเรื่องยากที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้น

“พวกเขากำลังจะอัดฉีดเงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม” นาย Todaro กล่าว 

6) ความต้องการน้ำมันที่ลดลงแสดงให้เห็นว่าโลกกำลังนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้อย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญกว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจสามารถทำงานได้จากที่บ้านของพวกเขา มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  ขอบคุณ Zoom ! ที่ช่วยให้พวกเราและเศรษฐกิจฝ่าฟันอุปสรรคในครั้งนี้ไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สหรัฐมีตัวเลขว่างงานสูงถึง 22 ล้านคนในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปกติแล้ว Bitcoin และตลาดคริปโตอาจได้รับผลประโยชน์จากการเทรดบนอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น 

“เทคโนโลยีได้ทำให้น้ำมันทั้งมีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในแง่การใช้งาน หลังจากที่ความต้องการชะลอตัวลดลง” นาย Rich Rosenblum อดีตผู้อำนวยการ  Goldman Sachs เขียนไว้ในอีเมล์ “ในทางตรงกันข้ามคริปโตเคอเรนซี่จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้”

7) อุปทานของ bitcoin นั้นไม่เหมือนกับน้ำมัน การลดลงของราคาน้ำมันในตลาดได้นำไปสู่ข้อตกลงในการปรับลดอุปทานของผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ เช่น ซาอุดิอาระเบีย , รัสเซียและเม็กซิโก ซึ่งมีแนวโน้มว่าบริษัทผูผลิตจะยุติการผลิตเนื่องจากผลกำไรที่ลดลง นักขุด Bitcoin อาจพากันออกจากเครือข่ายเมื่อราคาร่วงลดลงหรือบางทีอาจเป็นช่วง หลังจากที่รางวัลในการขุดของพวกเขาถูกหั่นลดลงครึ่งหนึ่งในช่วงเดือนหน้า แต่อย่างไรก็ตามการผลิตเหรียญ Bitcoin นั้นถูกควบคุมไว้อย่างเข้มงวดโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของคริปโตเคอเรนซี่ เมื่อเครือข่าย blockchain ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว 

อัตราการผลิตของ Bitcoin นั้นถูกควบคุมโดยโปรโตคอลของตัวเองและไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ “นาย Joe DiPasquale CEO ของกองทุน BitBull Capital เขียนไว้ในอีเมลว่า “ความผิดพลาดของราคาน้ำมันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและทำให้มีการพิมพ์เงินขึ้นมาจำนวนมาก สิ่งนี้จะเป็นการลดค่าความมั่งคั่งทั่วโลก ในทางตรงกันข้าม bitcoin นั้นมีข้อจำกัดสำหรับการผลิตทั้งหมดและอัตราการผลิตก็ถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 4 ปีอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้อุปทานของมันสามารถคาดการณ์ได้อย่างง่ายดาย”

8) สิ่งที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่มีต่อตลาดหุ้น หลังจากที่ราคาได้ผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงต้นปีนี้ bitcoin ก็เริ่มทรงตัวอยู่ที่ประมาณ $6,400 ถึง $7,400 เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะภาวะถดถอยที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส นั้นคงไม่ชัดเจนว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด หลายสัปดาห์แล้วที่ผู้บริหารอุตสาหกรรมน้ำมันได้รับคำเตือนถึงความเป็นไปได้ที่โรงเก็บสินค้าจะเต็ม เนื่องจากไม่มีการปรับลดอัตราการผลิตลง จนกระทั่งวันจันทร์ที่ผ่านมาตลาดน้ำมันฟิวเจอร์ก็ได้ร่วงลงอย่างรุนแรง

“Bitcoin ยังคงมีการซื้อขายกันอยู่ในลักษณะไซดเวย์ เพราะเรายังไม่รู้จริง ๆ ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรต่อไป” นาย Todaro กล่าว 

9) ผลกำไรของเหล่านักขุดอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากนักขุด Bitcoin รายใหญ่ใช้สัญญาจัดหาพลังงานในระยะยาวเพื่อล็อคต้นทุนค่าไฟฟ้าในราคาส่ง ดังนั้นแม้ว่าราคาน้ำมันจะร่วงลงและนำไปสู่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ลดต่ำลง เช่น ก๊าซธรรมชาติ แต่ถีงกระนั้นมันยังไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต Bitcoin โดยทันที

“มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก” นาย Rosenblum กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ แต่ในทางตรงกันข้ามหากราคา bitcoin ไม่เพิ่มขึ้นไปเป็นสองเท่า หลังจากที่มีการ Halving ในเดือนพฤษภาคม อุตสาหกรรมการทำขุดคริปโตอาจจะเห็นภาพสั่นสะเทือนขวัญที่คล้ายกับ “อุตสาหกรรมน้ำมัน” ในช่วงเวลานี้

10) แฟน ๆ ของ Bitcoin เริ่มเบื่อหน่ายกับการดูถูกดูแคลน นาย Cameron Winklevoss ประธานบริษัท Gemini ได้โพสต์ทวีตว่า “น้ำมันไม่สามารถได้รับการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเก็บรักษามูลค่าได้อีกต่อไป” ก่อนหน้านี้นักลงทุนบางคนอาจเคยมองว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่ประเด็นที่กว้างกว่าก็คือ น้ำมันที่นำโดยยักษ์ใหญ่แห่ง Wall Street รวมถึง Morgan Stanley และ Goldman Sachs ในฐานะตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ากำลังเริ่มพังทลายลงแล้ว 

“ไม่ว่าใครที่ชี้นิ้วไปยัง bitcoin พวกเขาจะต้องเผชิญความผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แบบดั้งเดิมมันดูจะย่ำแย่กว่ามาก” นาย Rosenblum กล่าว

ที่มา : coindesk

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น