<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 สาเหตุที่บ่งบอกว่าตลาด DeFi ยังคงมีโอกาสเติบโตอีกมาก

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงสองสามสัปดาห์มานี้ ตลาด Defi กำลังซบเซาอย่างหนัก หลังข่าวคริปโตในเชิงลบได้ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นข่าวการแฮ็ก Kucoin , การฟ้องร้องคดีกับ Bitmex หรือแม้แต่ข่าวการติดเชื้อ Covid – 19 ของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัล ทรัมป์ 

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานักวิเคราะห์คริปโตรายหนึ่งได้แบ่งปันตารางข้อมูลของเขา เพื่อชี้ให้เห็นว่ามูลค่าของเหรียญ DeFi โดยเฉลี่ยลดลงถึง 61.8 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่แตะจุดสูงสุดในช่วง 45 วันที่ผ่านมา เหรียญ Defi ชั้นนำอย่างเช่น Curve DAO ,  SUSHI, และ bZx มีมูลค่าที่ร่วงลดลงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จากจุดสูงสุดตลอดกาล

แต่ที่น่าสนใจก็คือ นับตั้งแต่เขาแบ่งปันตารางข้อมูลนี้มูลค่าของเหรียญ DeFi ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการขาดทุนเพิ่มขึ้นราว ๆ  5-20 เปอร์เซ็นต์ทั่วทั้งกระดาน

อย่างไรก็ตามปัจจัยพื้นฐานของภาค DeFi นั้นยังคงแข็งแกร่ง โดยอดีตที่ปรึกษาด้านการเงินของ JPMorgan ได้ให้เหตุผลที่สำคัญ 5 ประการว่าทำไมภาค Defi ถึงยังคงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

ปัจจัยพื้นฐานของ DeFi ที่ยังคงแข็งแกร่ง

แม้จะมีการปรับฐานราคาอย่างชัดเจนในภาค Defi แต่ผู้จัดการกองทุนคริปโตรายนี้ก็ยังเชื่อมั่นว่าแนวโน้มระดับมหภาคสำหรับภาค DeFi นั้นยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

Santiago R Santos ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของ Parafi Capital ที่มี DeFi เป็นศูนย์กลางของกองทุน (Parafi Capital) ได้ชี้แจงเรื่องนี้อย่างชัดเจนเมื่อเขาแบ่งปันเหตุผล 5 ประการว่าทำไมพื้นที่นี้ยังคงมีการเติบโตเพิ่มขึ้น

เป็นที่น่าสังเกตว่า Parafi Capital ได้รับเงินลงทุนจาก Galaxy Digital ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนด้านคริปโตของนาย Mike Novogratz ทั้งนี้ Galaxy Digital กล่าวว่าพวกเขายังคงลังเลที่จะลงทุนใน yield farming เนื่องจากข้อกังวลด้านกฎระเบียบและความยั่งยืนของมัน

เหตุผล 5 ประการที่ Santos กล่าวไว้มีดังต่อไปนี้ :

  • MetaMask กระเป๋าเงิน Smart Wallet ที่นักลงทุน Defi ส่วนใหญ่เข้าใช้งานพบว่ามียอดผู้ใช้งานพุ่งแตะระดับ 1 ล้านรายในปีนี้ ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปีที่แล้ว
  • ปริมาณการหมุนเวียนของเหรียญ Stablecoins มีตัวเลขพุ่งแตะระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 4-5 เท่าในปีนี้ เหรียญ Stablecoins ส่วนใหญ่มักจะถูกใช้สำหรับการเทรด แต่ก็มีบางส่วนที่ถูกล็อคอยู่ที่โปรโตคอล DeFi เช่น MakerDAO, Compound และ Aave
  • Ethereum กำลังมีการปรับขนาดผ่านโซลูชันที่หลากหลายเช่น การอัปเกรดเครือข่าย ETH2.0 ที่กำลังจะมาถึงและเทคโนโลยีแบบ 2 เลเยอร์ 
  • บริษัทต่าง ๆ เช่น Rainbow และ Argent กำลังเตรียมเปิดตัวกระเป๋าเงิน Wallet ที่ใช้งานง่ายและใช้ความรู้เข้าใจในด้านเทคนิคให้น้อยลง ดังนั้นผู้ใช้จึงมีแนวโน้มที่จะโต้ตอบกับ Ethereum และ DeFi ได้ง่ายมากขึ้น
  • การซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนของบริษัทต่าง ๆ เช่น Square, Robinhood, Visa และอื่น ๆ

แม้ว่าหลายคนอาจกำลังรู้สึกว่าจุดจบของ Defi นั้นอาจมาถึงแล้ว แต่ก็มีบางคนที่ยังคงเชื่อมั่นว่า Defi จะเป็นตัวพลิกเกมที่สำคัญให้กับวงการคริปโตในอนาคต

ที่มา : cryptoslate