ดูเหมือนว่าแอพส่งข้อความยอดนิยมในหมู่ผู้ใช้งาน Bitcoin และ Cryptocurrency ชื่อดังที่ชื่อว่า Telegram นั้นจะมีอัตราการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในวันนี้ โดยเฉพาะจากในไทย และดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเสียด้วย
แอพดังกล่าวนั้นเคยเปิดระดมทุนผ่าน ICO เมื่อช่วงปี 2017 ที่ผ่านมาด้วยการเปิดขายเหรียญที่ชื่อว่า TON ก่อนที่จะต้องยกเลิกโครงการดังกล่าวไปเนื่องจากมีปัญหากับ ก.ล.ต.ของสหรัฐฯ
ผู้ชุมนุมชาวไทยแห่โหลด Telegram
โดยอ้างอิงจากกลุ่มบน Telegram ที่มีชื่อว่า FreeYOUTH นั้น ดูเหมือนว่าในขณะนี้จะมีผู้ที่เข้าไปร่วม Channel ดังกล่าวแล้วประมาณ 110,000+ คนตามภาพด้านล่าง
กระแสการโหลด Telegram เพื่อมาเข้า channel ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เพจ Facebook ของกลุ่ม ‘เยาวชนปลดแอก’ ได้โพสต์ภาพชักชวนให้ผู้ติดตามไปกดเข้าร่วม channel Telegram ตาม QR code ในภาพด้านล่าง
โดยภายหลังจากการโพสต์ภาพดังกล่าวไปเพียงแค่ 3 ชั่วโมงนั้นก็มีผู้ที่ไปกดเข้า join กลุ่มไปแล้ว 111,910 คน ณ เวลาที่กำลังรายงานข่าวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นสถิติที่ค่อนข้างจะน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้แอพที่ผู้คนเลือกใช้เพื่อส่งข้อความมักจะเป็น LINE หรือ Messenger ของ Facebook แต่ทว่าการเลือกใช้ Telegram นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ที่อาจทำให้หลาย ๆ คนต้องรู้สึกสงสัยกันไม่น้อย
ทำไมต้องเป็น Telegram?
แม้ว่าทางเพจเยาวชนปลดแอกจะไม่ได้ออกมากล่าวถึงเหตุผลในการเลือกใช้ Telegram เป็นแอพสื่อสารช่องทางหลัก แต่ผู้ใช้งานคริปโตส่วนใหญ่นั้นคงจะสามารถคาดเดากันได้ถึงสาเหตุที่แท้จริง
ด้วยการที่ Telegram นั้นเป็นแอพส่งข้อความที่ไม่ได้มีตัวตนบริษัทอยู่ที่ไทย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
- ระบบเข้ารหัสแบบ End-to-end encryption ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถดักอ่านข้อความผู้ใช้งานได้ (กับฟีเจอร์ secret chat)
- มีห้องแชทแบบทำลายข้อความเองได้ตามเวลาที่เราตั้งไว้ (กับฟีเจอร์ secret chat)
- เซฟรูปและไฟล์บน server ได้ไม่จำกัด แม้ว่าเราจะเปลี่ยนโทรศัพท์ไปแล้ว กลับมา login ใหม่ ทุกอย่างก็ยังคงอยู่
- สร้าง Bot หรือระบบตอบรับอัตโนมัติ พร้อมฟีเจอร์อื่น ๆ ได้ เช่นตัวบอกราคา Bitcoin, ตัวบอกสภาพอากาศ และอื่น ๆ อีกมากมายได้ฟรี
- สร้าง sticker ได้ฟรี และโหลดฟรี
หลัก ๆ นั้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่แอพ Telegram ใช้เพื่อชูโรงนั้นก็คือความเป็นส่วนตัว (privacy) และความปลอดภัยจากนักแฮ็คเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดี (security) ดังนั้นมันจึงเป็นแอพหลักที่นักเทรด Bitcoin และ cryptocurrency เลือกที่จะใช้กันมานานแล้ว เพราะพวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลประเทศไหนก็ไม่สามารถมาแอบดูข้อความ หรือสั่งปิด channel ได้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การสมัครเพื่อใช้งาน Telegram นั้นก็ยังมีข้อเสียเล็กน้อยด้านความเป็นส่วนตัว นั่นก็คือการที่มันบังคับให้ผู้ใช้งานสมัครสมาชิกโดยใช้เบอร์โทรศัพท์นั่นเอง แต่ผู้ใช้งานก็สามารถที่จะเลือกที่จะไม่แสดงเบอร์โทรศัพท์ได้ในแอพ
ICO ของ Telegram
ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 ที่ผ่านมาว่าทาง Telegram นั้นมีแผนการเปิดตัวแพลทฟอร์มด้าน blockchain ที่ชื่อว่า Telegraph Open Network (TON) โดยมีแนวคิดหลัก ๆ ว่าต้องการที่จะสร้างแพลทฟอร์มการส่งข้อความบน Blockchain ที่มีความเป็น decentralized และมีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูง โดยพวกเขาต้องการที่จะระดมทุนผ่านการทำ Initial Coin Offering (ICO) ด้วยการขายเหรียญที่ชื่อว่า TON
ภายหลังพวกเขาสามารถระดมทุนผ่านการขายเหรียญ TON ไปได้ด้วยมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ เมื่อตอนต้นปี 2018 แต่ก็โชคไม่ดีที่ถูกทางรัฐบาลรัสเซียออกมาประกาศแบนแอพดังกล่าว เนื่องจากว่าในขณะนั้นรัฐบาลทั่วโลกยังไม่ได้เห็นดีงามกับ cryptocurrency สักเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นตอนช่วงเดือนตุลาคมปี 2019 ทาง Telegram นั้นก็ถูกทาง ก.ล.ต. สหรัฐฯ ยื่นฟ้องข้อหาเปิดระดมทุนและขายเหรียญ ICO ให้กับประชาชนสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย และหลังจากนั้นพวกเขาก็พยายามสู้คดีมาเรื่อย ๆ
และการต่อสู้ของพวกเขาก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ Telegram ที่ภายหลังต้องออกมาประกาศยุติโครงการเหรียญ TON และทาง ก.ล.ต. สหรัฐฯก็กลายเป็นผู้ชนะคดี ก่อนที่ทางศาลจะสั่งให้ทาง Telegram คืนเงินที่ระดมทุนมาได้จากนักลงทุนจำนวน 1.2 พันล้านดอลลาร์ และเป็นการปิดมหากาพย์การต่อสู้ของ Telegram ลงแต่เพียงเท่านี้
แม้ว่าพวกเขาจะแพ้คดี แต่แอพ Telegram นั้นก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของแอพแห่งประชาชน ที่การส่งข้อความหากันนั้นถูกทำโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแอบดูหรือแบนไม่ให้ใช้แอพดังกล่าว และมีแนวโน้มว่าผู้คนจะใช้มันไปเรื่อย ๆ
ปัจจุบันแอพดังกล่าวมียอดดาวน์โหลดอยู่บน Play Store ที่มากกว่า 500 ล้านครั้ง ซึ่งยังไม่นับรวมจำนวนยอดดาวน์โหลดบน App Store
ขอบคุณภาพจาก Chaiwat Sopimai