หลังจากที่ราคา XRP ได้พุ่งทำจุดสูงสุดที่ระดับ $0.78 เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคาก็ได้ร่วงลงอย่างรุนแรง ภายหลังการฟ้องร้องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่าบริษัท Ripple ได้ทำการซื้อขาย XRP ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้มีการจดทะเบียน
ทำให้มูลค่าของ XRP ร่วงลงอย่างรุนแรง ซึ่งราคานั้นได้ร่วงลงกว่า 78% เมื่อเทียบจาก All-Time High ในเดือนพฤสจิกายน โดยล่าสุดนั้นมีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับราคาประมาณ $0.26
จากกราฟราย 4 ชั่วโมงยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคานั้นไม่ได้มีการเคลื่อนตัวของระดับราคาไปเสียเท่าไร โดยมีแนวรับคงที่อยู่ที่ระดับ $0.26 ในขณะที่แนวต้านเริ่มบีบเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งหากแนวโน้มราคานี้ยังคงรูปแบบนี้ต่อไป อาจทำให้ราคา XRP ร่วงลงไปเผชิญกับแนวรับที่ระดับ $0.18 ได้
แต่หากมีกำลังซื้อเกิดขึ้นหลังจากที่ร่วงลงก็อาจเป็นเหตุให้ราคาเริ่มดีดกลับมาได้เช่นกัน ซึ่งหากสามารถฝ่าแนวต้านที่ระดับ $0.28 ไปได้อาจทำให้ราคา XRP นั้นพุ่งสูงถึง $0.36
นอกจากนี้ CEO ของบริษัท Ripple นาย Brad Garlinghouse ยังได้ออกมาแถลงว่าล่าสุดบริษัทได้ทำการเซ็นสัญญากับคู่ค้าเพิ่มขึ้นถึง 15 รายแม้ว่าจะมีความกังวลจากปัญหาด้านคดีความก็ตาม
นาย Garlinghouse ยังได้ออกมาแถลงด้วยว่า ทางบริษัทมีเป้าหมายที่จะแสวงหาผลกำไรจากความต้องการของสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยวางแผนที่จะร่วมมือกับธนาคารกลางเพื่อพัฒนาระบบต่าง ๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยน CBDC ผ่านระบบ XRP Ledger ได้โดยมีเหรียญ XRP เป็นตัวกลาง
โดยล่าสุดนั้นบริษัท Ripple ได้มีอิทธิพลในตลาด Asia-Pacific มากขึ้นหลังจากที่มีปริมาณการซื้อขายของเหรียญ XRP พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในตลาดเอเชีย แม้ว่าจะมีการเตือนถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อก็ตาม
ที่มา: cryptobriefing.com