<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

SCB 10X เผยเตรียมลงทุนเงิน 1.5 พันล้านบาทในบริษัทสตาร์ทอัพ Blockchain DeFi และสินทรัพย์ดิจิทัล

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

SCB 10X หรือบริษัทลูกของธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในไทยอย่างไทยพาณิชย์นั้นดูเหมือนว่ากำลังให้ความสนใจไปกับการลงทุนในบริษัทสตาร์ทด้านบล็อกเชน, Defi และสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทได้ประกาศเตรียมลงทุนเงินกว่า 1.5 พันล้านบาทหรือราว ๆ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสตาร์ทอัพทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่เพิ่งอยู่ในช่วงตั้งไข่ (early stage) หรือบริษัทที่อยู่ในระยะเติบโต (growth stage) ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือการเงินรูปแบบกระจายอำนาจอย่าง Defi 

คุณมุขยา พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุนของ บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “เทคโนโลยี บล็อกเชน Blockchain คือ โครงสร้างพื้นฐานใหม่สำหรับการดำเนินธุรกิจทั้งแบบรวมศูนย์ (Centralized) และ ไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) ด้วยคุณสมบัติของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ช่วยลดค่าดำเนินการในการการทำธุรกรรมลง ช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระดับสูงสุด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อมูลได้อย่างปลอดภัยจากการแก้ไขหรือโจรกรรม  ให้ความโปร่งใส สามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินการได้ทุกขั้นตอน และ ไร้พรมแดน สามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะอยู่พื้นที่ใดในโลก” 

“นอกจากนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนยังช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการเงิน และเพิ่มขีดความ สามารถในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ โดย SCB 10X เล็งเห็นว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างการให้บริการทางการเงินในปัจจุบัน (Centralized Finance) และการให้บริการทางการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralized Finance) ในอนาคต ” 

สำหรับงบลงทุน 1.5 พันล้านบาทของ Venture Capital Fund ในครั้งนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการลงทุนในธุรกิจที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีด้านบล็อกเชน การบริการทางการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralized Finance – DeFi) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) โดยเฉพาะ 

คุณมุขยากล่าวเสริมด้วยว่า “เราจะลงทุนในสตาร์ทอัประยะเริ่มต้นถึงระยะเติบโตทั่วโลกในบริษัทที่มีบล็อกเชนเป็นโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงสตาร์ทอัปผู้พัฒนาแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับนวัตกรรมบล็อกเชน และการบริการทางการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralized Finance – DeFi) เพื่อเตรียมพร้อมให้ธนาคารสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต”