<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Vitalik Buterin ออกมาเผยถึงแผนการพัฒนา Ethereum ในอนาคต คาดประมวลผล 100,000 ธุรกรรมต่อ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากการเปิดตัวบล็อคเชน Ethereum ที่ใช้โปรโตคอล Proof-of-Stake ที่ชื่อว่า “Beacon Chain” ทางนักพัฒนาก็พยายามเร่งผนวกมันเข้ากับเครือข่ายตัวเดิมที่ใช้ Proof-of-Work โดยนาย Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาเผยถึงแผนการรวบรวม chain แบบเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน โดยเรียกมันว่า “The Merge” ผ่านงาน World Blockchain Conference

เครือข่ายได้รับการอัปเดตหลายอย่างที่ดำเนินผ่านการ Hard Fork โดยมีจุดประสงค์เพื่อวางรากฐานสำหรับการเคลื่อนย้ายเครือข่ายของ Ethereum ทุกอย่างให้กลายเป็น proof of stake หรือ Ethereum 2.0 โดยคาดการณ์ว่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีต่อจากนี้

หลังจาก Merge เครือข่ายจะต้องทำการ hard fork เพิ่มเติมสำหรับ “การล้างข้อมูล” นักพัฒนาหลักได้ผลักดันให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดตามที่ Buterin ยืนยัน ดังนั้น การ Merge ดังกล่าวจะเปิดตัวเป็นการอัปเดตแบบ “เรียบง่าย”

“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ Hard Fork ที่ใช้เพื่อการ merge นั้นทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น การไม่สามารถถอนเงินได้คือตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ ตอนนี้หากคุณมีเงินฝากในระบบ Proof of Stake อยู่แล้ว คุณจะไม่มีทางถอนออกได้ และหลังจาก merge แล้วคุณยังไม่มีวิธีถอดมันออก”

การ hard fork นี้จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถถอน rewards ของพวกเขาเพื่อการ stake เหรียญ ETH ใน Beacon Chain และส่งมันกลับไปยัง deposit fund ตัวดั้งเดิม โดยข้อมูลจาก Etherscan เผยว่าปัจจุบันมี Ethereum ที่ถูกล็อคไว้ในเครือข่ายที่ 6,413,090 ETH และมีมูลค่าประมาณ 13,957,897,992 ดอลลาร์ในขณะนี้

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Eth2 Rewards Bot ระบุว่ามี validator ในเครือข่ายอยู่ที่ 186,449 ราย ณ วันที่ 8 กรกฎาคม โดยมีอัตราการเข้าร่วม 99.34% และอัตรารางวัลที่ 6.37% สำหรับ ETH ที่ถูกล็อก ผลตอบแทนประจำปีที่คาดการณ์ไว้สำหรับ validator นั้นอยู่ที่ 2.04 ETH หรือ 4,727.17 ดอลลาร์ในขณะนั้น

Ethereum มุ่งสู่ “อนาคตที่ไม่มีที่สิ้นสุด”

การ Hard Fork นั้นจะลบกลไกการลงคะแนนข้อมูล ETH1 ที่อนุญาตให้ Beacon Chain หรือบล็อคเชน PoS “สื่อสาร” กับบล็อคเชนที่ใช้ PoW นาย Buterin แนะนำให้ผู้เปิด Client ทั้งหมด “พยายามหยุดดาวน์โหลด” PoW chain ก่อนการ Merge

นอกจากนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่จำเป็น เช่น การทำให้ไคลเอ็นต์และโค้ดเรียบง่ายขึ้น โดยนาย Buterin กล่าวว่า

“จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกับการ Merge แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการ Merge จะเกิดขึ้นเร็วขึ้น เราจึงชะลอจนสิ่งเหล่านี้จนกว่าจะ Merge เสร็จ”

เราได้เห็นเครือข่าย Ethereum ที่มีความแออัดมากขึ้นหากนับตั้งแต่ขาขึ้นของ DeFi เมื่อปี 2020 โดยมีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นที่ต้องการเข้ามาใช้งานเครือข่าย DeFi ที่เยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลทำให้นักพัฒนาต้องพยายามออกตัว hard fork ที่ชื่อว่า London เพื่อมาแก้ปัญหานี้

การ Merge ดังกล่าวนั้นจะช่วยให้พวกเขาสามารถติดตั้งการอัปเดตอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงความสามารถในการปรับขนาดบน Ethereum หรือการทำ sharding ได้ กลไกนี้จะเพิ่ม shard ที่มีขนาดบล็อกมากกว่า 512 กิโลไบต์ทุกๆ 12 วินาทีต่อชาร์ดบน 64 บล็อก ซึ่งจะทำให้ Ethereum สามารถประมวลผลธุรกรรมได้หลายพันรายการต่อวินาที

“วันนี้ Rollups สามารถขยายธุรกรรมได้ถึงประมาณ 4,000 ถึง 5,000 ธุรกรรมต่อวินาที หากสมมุติฐานว่า ระบบนิเวศ Ethereum ทั้งหมดใช้งาน Rollup แต่ทำผ่าน sharding เราอาจมีพื้นที่เพิ่มขึ้น 20 ถึง 50 เท่า เป็นไปได้ที่ Rollups จะสามารถทำธุรกรรมได้ถึง 100,000 รายการต่อวินาที และในอนาคต มากกว่านั้นอีก”

ในขณะนี้ราคาเหรียญ Ethereum ถูกซื้อขายที่ $2,154 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงราว ๆ -1.45%