<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

CEO ของ BlackRock มั่นใจ Bitcoin มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว หลังกองทุนสะสม BTC แตะ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับรายการ Fox Business ว่าในตอนนี้กองทุน Bitcoin ETF ของพวกเขา (IBIT) เป็น ETF ที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว พร้อมกับแสดงความมั่นใจกับ Bitcoin ในระยะยาวเป็นอย่างมาก

Fink ได้เปิดเผยว่า ตัวเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อกองทุน IBIT ของพวกเขามีผลการดำเนินงานที่น่าประทับจับตลอดช่วง 11 สัปดาห์แรกของการซื้อขาย พร้อมกับออกมาแสดงความมั่นใจว่า Bitcoin จะสามารถเติบโตในระยะยาวได้

โดยนับตั้งแต่ BlackRock ได้มีการเปิดตัว Bitcoin ETF กองทุน IBIT ก็ได้มีเงินไหลเข้าเป็นจำนวนกว่า 13.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 11 สัปดาห์แรก และมีเงินไหลเข้าสูงสุดถึง 849 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 12 มีนาคม ตามข้อมูลจาก Farside Investors

นอกจากนี้ Fink ก็ได้ออกมาแสดงความมั่นใจว่า กองทุน IBIT ของพวกเขานั้นเป็น ETF ที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ETF แล้ว และจะไม่มีใครสามารถทำลายสถิตินี้ได้เท่ากับพวกเขาอีก

“เรากำลังสร้างตลาดที่มีสภาพคล่องมากขึ้น โปร่งใสมากขึ้น และฉันก็ประหลาดใจมากเพราะฉันไม่เคยคาดการณ์มาก่อนว่าเราจะได้เห็นอุปสงค์การค้าปลีกประเภทนี้ … ฉันมั่นใจมากถึงการอยู่รอดของ Bitcoin ในระยะยาว”

ความมั่นใจของ Fink ในครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่กองทุน BIBT ได้ถือครอง Bitcoin ไปแล้วกว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้นในการสะสมสินทรัพย์ให้ขึ้นแตะ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่ทองคำ ETF ต้องใช้เวลาถึงสองไปในการทำลายสถิติดังกล่าว

และในบรรดา ETF ที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบัน เป็นรองเพียงแค่ Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) เท่านั้น โดยพวกเขามี Bitcoin รวมมูลค่ามากถึง 2.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก BitMEX

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมบางคนก็ได้คาดการณ์ว่าอาจมีกองทุน Bitcoin ETF บางรายจำเป็นต้องปิดตัวลงในที่สุดเพราะขาดผลกำไร

โดย Hector McNeil ซีอีโอร่วมและผู้ก่อตั้ง HANetf รวมถึงผู้ให้บริการ ETF ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph ว่า ในตอนนี้มีกองทุน ETF หลายเจ้าได้แข่งกันลดค่าธรรมเนียมลงเพื่อพยายามแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่บางราย ทว่าพวกเขาก็จะมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดในอุตสาหกรรมนี้ได้

ที่มา: Cointelegraph