<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Goldman Sachs เตือน! ไม่ควรนำเหตุการณ์  Halving ครั้งก่อน มาใช้ทำนายราคา Bitcoin ในปัจจุบัน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

อีกเพียงแค่สองวันเท่านั้น เหตุการณ์ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ที่ทุกคนรอคอยก็จะมาถึง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ Bitcoin Blockchain ที่จะปรับลดอัตราการสร้าง Bitcoin ต่อบล็อก จาก 6.25 BTC ลงเหลือ 3.125 BTC เท่ากับว่าเป็นการลดอัตราการสร้าง Bitcoin ลงครึ่งหนึ่ง ในทุก ๆ 4 ปี 

การปรับลดรางวัลการขุดครั้งก่อนๆ มักจะทำให้ราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนานหลายเดือน ทั้งนี้ชุมชนคริปโตเคอร์เรนซีจึงมีความหวังว่า ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง 

แต่ทว่ายักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนอย่าง Goldman Sachs กลับไม่คิดเช่นนั้น และเตือนลูกค้าของตนเองไม่ให้คาดการณ์ราคา โดยอิงข้อมูลจากในอดีต

ในวันที่ 12 เมษายน ทีมงานของ Goldman Sachs รายงานว่า แม้ในอดีต ราคา Bitcoin เคยปรับตัวสูงขึ้นหลังการ Halving ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา แต่ระยะเวลาที่ใช้ในการขึ้นไปแตะจุดสูงสุดตลอดกาลนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น ไม่ควรนำข้อมูลในอดีตมาคาดการณ์ผลกระทบของการ Halving ในครั้งนี้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจมหภาค ในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกัน

ประสิทธิภาพของ Bitcoin หลังการ Halving ครั้งก่อนๆ ที่มาภาพ:Goldman Sachs

กราฟด้านบน ได้แสดงผลภาพรวมของ Bitcoin หลังจากการ Halving ครั้งก่อนๆ คือวันที่ 28 พ.ย. 2012, 9 ก.ค. 2016 และ 11 พ.ค. 2020

ถึงแม้ตลาดกระทิงจะเกิดขึ้นหลังจาก halving ทั้งสามครั้ง แต่การเติบโตของราคาที่เพิ่มขึ้นและระยะเวลาที่ใช้ในการขึ้นไปถึงจุดสูงสุดนั้นมีความแตกต่างกัน

ประเด็นสำคัญกว่านั้นคือ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคในช่วงเวลานั้นแตกต่างจากสภาวะเงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยสูงในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ในอดีตปริมาณเงินหมุนเวียน M2 ของธนาคารกลางหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve), ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan) และธนาคารประชาชนจีน (People’s Bank of China) ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

ตามที่ CoinDesk ได้รายงานเมื่อปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยในประเทศพัฒนาแล้วติดอยู่ที่ระดับศูนย์หรือน้อยกว่า เป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนเสี่ยงในตลาดการเงินทั้งหมด รวมถึงสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่ประวัติศาสตร์จะเกิดซ้ำรอย นั้นสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (Macro) จำเป็นต้องสนับสนุนให้เกิดการรับความเสี่ยงได้ นั่นเอง

แต่สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างออกไป อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เหนือ 5% และตลาดได้คาดการณ์ว่าจะไม่มีการลดดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวและเศรษฐกิจที่ยังคงมีความยืดหยุ่น

ราคาของ Bitcoin ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้ ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ และเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ Halving เป็นครั้งแรก ด้วยเงินทุนหลั่งไหลเข้ามาสู่กองทุน Bitcoin ETF

 ตามข้อมูลจาก Bloomberg กองทุน Bitcoin ETF ทั้ง 11 กองทุนบนตลาดที่เปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลาสามเดือน ได้สะสมสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลมูลค่าถึง 59.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

ดังนั้น นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การพุ่งขึ้นหลัง​การ Halving น่าจะถูกดึงมาใช้ก่อนกำหนด ส่งผลให้ราคาอาจมีแนวโน้มปรับฐานลง หลัง​การ Halving​  ในเดือนเมษายน 2024 

ตามที่ Goldman Sachs กล่าว “การ Halving ของ Bitcoin เป็นการเตือนความจำทางจิตวิทยาแก่ผู้ลงทุนเกี่ยวกับปริมาณ Bitcoin ที่มีอยู่อย่างจำกัด และแนวโน้มในระยะกลางของ Bitcoin ขึ้นอยู่กับกระแสตอบรับของกองทุน ETF”

หลังจากที่ Bitcoin Halving เกิดขึ้น ในระยะสั้น ทีมของ Goldman Sachs มองว่าอาจส่งผลในรูปแบบ ‘ซื้อตามข่าวลือ ขายตามข่าวจริง’  ส่วนแนวโน้มราคา Bitcoin ในระยะกลาง น่าจะยังคงได้รับแรงผลักดันที่ดี จากปัจจัยพื้นฐานของอุปสงค์-อุปทาน และความต้องการของกองทุน Bitcoin ETF ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ที่มา:coindesk