Arthur Hayes ผู้ร่วมก่อตั้ง BitMEX และนักลงทุนคริปโตชื่อดัง ออกมาแสดงความเห็นว่า ยุคของพันธบัตรและหุ้นสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์สำรองของโลกกำลังจะสิ้นสุดลง โดยจะถูกแทนที่ด้วยทองคำและ Bitcoin ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินโลก
ในทวีตล่าสุด Hayes ระบุว่า การเลือกตั้งของประธานาธิบดี Donald Trump ส่วนหนึ่งสะท้อนถึงความไม่พอใจของชาวอเมริกันที่รู้สึกว่าไม่ได้รับประโยชน์จาก “ความเจริญรุ่งเรือง” ที่เกิดขึ้นหลังสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971
เขาชี้ว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ Trump ดำเนินนโยบายลดหนี้และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ประเทศอื่น ๆ จะถูกบีบบังคับให้ระดมทุนภายในประเทศโดยการขายพันธบัตรและหุ้นสหรัฐฯ ที่ถืออยู่ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบการเงินโลกเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร เนื่องจากไม่มีใครกล้าเสี่ยงกับการเปลี่ยนใจของผู้นำสหรัฐฯ
Hayes กล่าวอย่างชัดเจนว่า “นี่คือจุดจบของพันธบัตรและหุ้นสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์สำรองระดับโลก หากบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ ถูกปรับสมดุล ชาวต่างชาติจะไม่มีดอลลาร์เพียงพอสำหรับการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นอีกต่อไป และหากแต่ละประเทศจำเป็นต้องฟื้นเศรษฐกิจของตน พวกเขาก็จะขายสินทรัพย์เหล่านี้เพื่อนำเงินกลับมาใช้ในประเทศ”
เขายังเสริมว่า ทองคำและ Bitcoin จะกลายเป็นเสาหลักใหม่ของระบบการเงินโลก โดยมองว่าทองคำคือสินทรัพย์สำรองที่ “เป็นกลาง” ซึ่งสามารถใช้ชำระธุรกรรมระหว่างประเทศได้ โดยประเทศต่าง ๆ จะถือทองคำแทนดอลลาร์มากขึ้นในอนาคต
“ทองคำได้รับการยกเว้นภาษี นี่คือสัญญาณจาก Trump ที่บ่งบอกถึงทิศทางใหม่ของระบบการเงินโลก ทองคำต้องสามารถหมุนเวียนได้อย่างเสรี และราคาต้องไม่สูงเกินไปในระบบใหม่ที่กำลังก่อตัว”
Bitcoin เคลื่อนไหวแยกตัวออกจากตลาดหุ้น
Hayes เตือนว่า ผู้คนจำนวนมากยังคงอยู่ในภาวะ “ปฏิเสธความจริง” และยังคาดหวังว่าสถานการณ์จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่สำหรับผู้ที่ต้องการปรับตัวให้ทันยุค เขาแนะนำให้ลงทุนในทองคำ หุ้นบริษัทเหมืองทอง และ Bitcoin
นอกจากนี้ เขายังมองว่า ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของ Trump อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราคาของ Bitcoin และดัชนี Nasdaq พังทลายลงในที่สุด
“ผู้ถือ Bitcoin ควรเริ่มทำความคุ้นเคยกับคำว่าภาษีศุลกากร เพราะนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ BTC หลุดพ้นจากความสัมพันธ์กับ Nasdaq และสามารถสะท้อนสถานะของเงินเฟียตในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุดได้”
Source: DailyHodl