<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เศรษฐี Bitcoin หายวับ 34,000 รายในไตรมาสแรก ! หลังทรัมป์คุมเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รายงานตลาดคริปโตไตรมาสแรกปี 2025 ของ Finbold เผยว่า จำนวนกระเป๋า Bitcoin ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ลดลงเกือบ 20% ภายในเวลาแค่สองเดือนเศษ นับจากวันที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม จนถึงวันที่ 31 มีนาคม

ก่อนหน้าที่ Donald Trump จะเข้าสาบานตน กระเป๋า Bitcoin ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ มีอยู่ประมาณ 176,364 ใบ แต่พอจบไตรมาส เหลือกระเป๋า Bitcoin ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ เพียง 141,627 ใบ ซึ่งพบว่าหายไปกว่า 34,700 ใบ 

โดยในจำนวนนี้ มีกระเป๋าคริปโตที่ถือ Bitcoin มูลค่าระหว่าง 1 ถึง 9.99 ล้านดอลลาร์ หายไป 30,000 ใบ และกระเป๋าที่มี Bitcoin มูลค่ามากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ หายไปอีก 4,737 ใบ

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงก่อนที่ Donald Trump จะกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ บรรยากาศของตลาดคริปโตกลับเต็มไปด้วยความหวัง จนทำให้เกิดการสะสม Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างมาก 

ในระหว่างวันที่ 1 ถึง 20 มกราคม เพียงแค่ 20 วันแรกของปีนี้ มีจำนวนเศรษฐี Bitcoin เพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 ราย ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่ต่อเนื่องมาจากไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ที่มีเศรษฐี Bitcoin หน้าใหม่เพิ่มขึ้นสูงถึง 11,000 ราย ภายในเดือนเดียว

แต่ถ้ามองจากราคาของ Bitcoin จะเห็นได้ว่า สาเหตุที่จำนวนเศรษฐีคริปโตลดลง อาจไม่ได้เกิดจากการเทขายเสมอไป เพราะความมั่งคั่งในโลกคริปโตนั้นผูกติดอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์โดยตรง ยิ่งราคาเหรียญร่วง ความมั่งคั่งก็หายไปทันที แม้จะยังไม่ได้เทขายเหรียญออกจากตลาดเลยก็ตาม

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 ราคา Bitcoin ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 75,623 ดอลลาร์ จากนั้นราคาก็พุ่งขึ้นมาเป็น 94,386 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี และแตะจุดสูงสุดที่ 101,768 ดอลลาร์ในวันสาบานตนของทรัมป์ แต่หลังจากนั้น ราคา Bitcoin ก็ร่วงลงมาเกือบ 19% ปิดไตรมาสแรกที่ราคา 82,512 ดอลลาร์

แม้ตลาดคริปโตจะเผชิญความผันผวนอย่างหนัก และมีเศรษฐี Bitcoin หายไปกว่า 34,000 รายภายในไตรมาสเดียว แต่หากย้อนดูตั้งแต่ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ยังพบว่า มีเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นราว 9,100 ราย ซึ่งสะท้อนว่า ผลกระทบเชิงบวกจากแรงกระตุ้นในช่วงต้นปีอาจยังหลงเหลืออยู่บ้าง 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนจับตาคือ ตลาดจะสามารถปรับตัวเข้าสู่สมดุลได้เมื่อใด ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังคงก่อตัวต่อเนื่องในระดับโลก

ที่มา : finbold