ตลาดคริปโตเปิดต้นสัปดาห์นี้มาด้วยความระส่ำ หลังจากที่ Bitcoin ร่วงหลุดระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 สัปดาห์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้เช้าวันจันทร์จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวเล็กน้อย กลับมายืนที่ราว ๆ 101,000 ดอลลาร์ แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นก็เพียงพอจะทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สหรัฐอเมริกาเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทางอิหร่านได้ออกมาขู่ว่าอาจดำเนินการ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” เส้นทางขนส่งน้ำมันที่มีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างแรงกระเพื่อมต่อเสถียรภาพของตลาดพลังงานโลกอย่างไม่อาจมองข้าม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามในสัปดาห์นี้ ไม่ได้มีแค่สถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น เพราะยังมีปัจจัย สำคัญอื่น ๆ ที่อาจสร้างแรงกระแทกต่อราคาของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลได้ไม่แพ้กัน
โดยบทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาที่ความผันผวนของตลาดยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้
1. สหรัฐฯ ถล่มฐานนิวเคลียร์อิหร่าน – เสี่ยงปิดช่องแคบฮอร์มุซ
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ฉุดตลาดลงทันทีคือ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารของอิหร่านเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จุดไฟให้เกิดความหวั่นวิตกไปทั่วโลกเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดตามมา
อิหร่านโต้กลับทันควันด้วยคำขู่ว่าจะ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดเส้นหนึ่งของโลก โดยมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของปริมาณน้ำมันที่ขนส่งทางทะเลทั่วโลก หากถูกปิดจริง จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะยาน กระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลก
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือคำแถลงจากรัสเซีย ซึ่งออกมาประกาศพร้อมให้ความช่วยเหลืออิหร่าน รวมถึงเรื่อง “อาวุธนิวเคลียร์” ด้วย ท่าทีนี้ทำให้ความเสี่ยงทางการทหารในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. ตลาดรอฟังสัญญาณจาก Fed และข้อมูลเงินเฟ้อ
แม้ข่าวสงครามจะเป็นปัจจัยภายนอกที่กดดัน แต่ภายในสหรัฐฯ เองก็มีตัวแปรสำคัญที่กำลังคุกคามจิตวิทยาตลาดเช่นกัน เพราะสัปดาห์นี้ถือเป็นหนึ่งในสัปดาห์ที่ “อัดแน่นด้วยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาค” ที่สุดของเดือน
- วันจันทร์: รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการจาก S&P Global ซึ่งบ่งชี้ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจ
- วันอังคาร: ข้อมูลยอดขายบ้าน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
- วันพุธ: การกล่าวถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ต่อรัฐสภา ซึ่งนักลงทุนจะจับตา “สัญญาณต่อทิศทางดอกเบี้ย”
วันพฤหัสบดี: ตัวเลข GDP ไตรมาสแรก - วันศุกร์: รายงาน PCE (Personal Consumption Expenditures) ที่ Fed ใช้เป็นดัชนีเงินเฟ้อหลัก
หากข้อมูลเหล่านี้ออกมาสะท้อนว่าเงินเฟ้อยังไม่ชะลอตัว หรือเศรษฐกิจยังร้อนแรงเกินไป ก็อาจผลักดันให้ Fed ต้อง “ชะลอการลดดอกเบี้ย” ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต
3.แรงขายจาก Ethereum และ Altcoins กดดันทั้งตลาด
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ Bitcoin ที่ร่วงแรง แต่ Ethereum เองก็ถูกเทขายหนัก โดยดิ่งลงมากกว่า 7% ขณะที่ altcoins อื่น ๆ อย่าง Solana, BNB, ADA, และ XRP ก็แดงยกแผง
มีเพียง Hyperliquid ที่รอดจากแรงขาย โดยยังคงอยู่ในแดนบวก ทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตาเหรียญนี้มากขึ้นว่าอาจเป็น “ตัวหลบภัยทางเลือก” ชั่วคราวในช่วงตลาดผันผวน
แรงขายใน altcoins บ่งชี้ว่านักลงทุนเริ่มเทขายความเสี่ยงสูงเพื่อถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าอย่าง Bitcoin หรือ stablecoin มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการ “ชะลอเล่นรอบสั้น”
4.Bitcoin หลุดแนวรับจิตวิทยา $100,000 จุดไฟความกังวล
แม้ว่า BTC จะสามารถฟื้นกลับมายืนเหนือ $101,000 ได้อย่างรวดเร็วในวันจันทร์ แต่การที่มัน “หลุดแนวรับจิตวิทยา” อย่าง 100K ไปแล้วนั้น ส่งผลทางจิตวิทยาอย่างมากต่อตลาด
เพราะระดับราคานี้ไม่ใช่แค่แนวรับทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวรับที่สื่อถึง “ความมั่นใจของตลาด” ทั้งในแง่สถาบันและรายย่อย หาก BTC ไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงภายในสัปดาห์ มันอาจเป็นการเปิดทางให้แรง Short หรือแรงเทขายแบบ Panic Sell กลับมาอีกระลอก
จากที่กล่าวมาข้างต้น ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็น “พายุลูกใหญ่” ที่อาจทำให้คริปโตเข้าสู่ภาวะ Overreaction ได้ทุกเมื่อ
นักลงทุนสายเล่นสั้นต้องจับตาข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนสายถือยาวอาจต้องทบทวนจุดซื้อสะสมอีกครั้ง ว่าแนวรับใดคือโอกาสจริง หรือจะกลายเป็นกับดักอีกครั้งในรอบนี้
ที่มา : Cryptopotato