การวิเคราะห์ราคา Bitcoin หรือเหรียญคริปโตต่าง ๆ สมัยนี้ ไม่ได้มีแค่การดูกราฟหรือเส้นแนวรับแนวต้านเท่านั้น เพราะตอนนี้ “ข้อมูล On-chain” ยังกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเด็ดที่นักลงทุนระดับเซียนหลายคนใช้กัน เพื่อดูว่าเงินมันกำลังไหลไปทางไหน ใครกำลังเก็บเหรียญ หรือใครเริ่มทยอยขาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันตรวจสอบได้เลยผ่านบล็อกเชน
แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าเจ้า “ข้อมูล On-chain” มันคืออะไร ดูตรงไหน แล้วแปลว่าอะไร บทความนี้จะพาไปเจาะลึกแบบเข้าใจง่าย ๆ กันครับ เพื่อที่ครั้งหน้า เวลาเห็นคนอื่นพูดถึง เราจะได้ไม่พลาดจังหวะดี ๆ ในการลงทุนอย่างเสียดาย
ข้อมูล On-chain คืออะไร ?
ข้อมูล On-chain คือ ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่บนบล็อกเชนอย่างถาวร โดยทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้น เช่น การโอนเหรียญ การสร้างเหรียญ การ Swap เหรียญ หรือแม้แต่การ Staking จะถูกจดบันทึกไว้บนเครือข่าย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้แบบโปร่งใส ไม่มีใครลบหรือแก้ไขได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ ข้อมูล On-chain คือ รอยเท้าของ “ใครทำอะไรกับเหรียญบ้าง” ที่ถูกเก็บไว้อย่างละเอียดบนเครือข่ายบล็อกเชนนั่นเอง
ตัวอย่างข้อมูล On-chain ที่คนชอบใช้ :
- จำนวนเหรียญที่อยู่บนเว็บเทรด (Exchange Reserve)
- จำนวนกระเป๋าที่มีการใช้งานจริงในแต่ละวัน (Active Addresses)
- การเคลื่อนไหวของเจ้ามือ (กระเป๋าที่ถือเหรียญเยอะ)
- ปริมาณการโอนเข้า-ออกจากเว็บเทรด
- ความคุ้มค่าของการขายเหรียญ (SOPR)
- กำไรขาดทุนโดยเฉลี่ยของคนทั้งเครือข่าย (MVRV)
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เอามาใช้วิเคราะห์ว่าตลาดอยู่ในโหมดไหน คนกำลังซื้อหรือขาย, ตลาดร้อนแรงหรือกำลังซบเซา, หรือว่ากำลังเข้าสู่รอบใหม่ของตลาดกระทิงหรือหมี
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ข้อมูล On-chain ก็เหมือนการได้แอบดูสมุดบัญชีของทั้งตลาด ว่าใครโอนเงินไปไหน ถือเงินไว้หรือเตรียมขาย และแน่นอน ข้อมูลพวกนี้มีประโยชน์มากในการจับจังหวะลงทุนให้แม่นยำยิ่งขึ้น
1 Exchange Reserve (ปริมาณเหรียญบนกระดานเทรด)
เริ่มที่ตัวแรกกับปริมาณเหรียญบนกระดานเทรด ข้อมูลตัวนี้จะชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนของอุปทานเหรียญ ซึ่งถ้าหากเว็บเทรดมีการถือครองที่มากหมายความว่า เป็นสัญญาณเชิงลบ เนื่องจากนักเทรดต่างฝากเหรียญเข้าไปเพื่อรอเทขาย

กลับกันหากจำนวนเหรียญบนเว็บเทรดมีน้อยหมายความว่า ไม่มีใครอยากนำเหรียญออกมาขาย ทำให้เกิดภาวะ supply shock กลไกตลาดไม่สมดุลกันจนส่งผลทำให้แนวโน้มของราคามีการปรับตัวขึ้นสูง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ นักเทรดสามารถเข้าไปศึกษาได้ที่เว็บไซต์ต่าง เช่น Cryptoquant และหากอยากดูข้อมูลเฉพาะในแต่ละเว็บเทรดก็สามารถทำได้ผ่านการกรอกตัวกรอง (filter) ทว่า ข้อมูลบางอย่างอาจจะต้องเสียค่าสมาชิก
2 Exchange Inflow / Outflow (ปริมาณโอนเข้า-ออกเว็บเทรด)
นอกเหนือจากปริมาณอุปทานสำรองในเว็บเทรดแล้ว ข้อมูลอีกตัวหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือ ปริมาณการไหลเข้าออกของคริปโตบนเว็บเทรด ทั้งนี้หากมองดูผิวเผินอาจจะคิดว่าคล้ายกับตัวแรก แต่ก็ไม่ใช่สักทีเดียวเพราะข้อมูลนี้ทำหน้าที่ในการชี้วัดโดยละเอียดว่าในขณะนั้นนักเทรดรู้สึกอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น หากมีเงินไหลออกมากที่ส่งสัญญาณว่านักเทรดกำลังสะสม แต่ราคายังคงย่อตัว สิ่งนี้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ตลาดอาจกำลังอยู่ในช่วงสะสมก่อนทำขาขึ้นรอบใหม่ ส่วนวิธีดูก็ไม่ยุ่งยากสีเขียวหมายถึงเงินไหลเข้า สีแดงหมายถึงเงินไหลออก และสีเหลืองคือ เส้นระดับราคาของสินทรัพย์นั้นๆ
3 Active Addresses (จำนวนกระเป๋าที่ใช้งานต่อวัน)
ถัดมาจะเป็นข้อมูลของจำนวนกระเป๋าที่มีการใช้งานในแต่ละวัน ซึ่งสิ่งนี้จะสื่อถึงสภาวะของตลาดว่าคึกคักหรือเงียบเหงา โดยสังเกตได้ง่ายๆเลย คือ หากมีกิจกรรมเกิดขึ้นเยอะมีการใช้งานมาก คือในขณะนั้นตลาดได้กลับมาคึกคัก กลับกันถ้ามีจำนวนผู้ใช้และกระเป๋าน้อย หมายความว่าตลาดอยู่ในช่วงซบเซาไม่มีใครกล้าเสี่ยงเดิมพันมากนัก

Active Addresses จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างราคาและกระเป๋า โดยที่เส้นสีขาวจะเป็นราคา และเส้นสีน้ำเงินม่วงจะเป็นจำนวนกระเป๋า โดยข้อมูลจากกราฟแสดงให้เราเห็นว่าแม้ราคาจะสูงถึง $107,000 แต่ปัจจุบันตลาดกลับไม่ได้คึกคักเท่าไหร่นัก
4 Whale Wallet Activity (การเคลื่อนไหวของกระเป๋าใหญ่)
มาต่อกันกับข้อมูลของเหล่าเจ้ามือ โดยปกติแล้วเราอาจเห็นความเคลื่อนไหวของเจ้ามือรายใหญ่ ๆ จากโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าหากอยากจะรู้ถึงภาพรวมของตลาดข้อมูลตัวนี้ก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ได้ติดตามแค่ขาใหญ่เพียงรายเดียวแต่เป็นการติดตามทุกกระเป๋าเจ้ามือที่มีการถือครอง Bitcoin มากกว่า 1,000 BTC ขึ้นไป

สำหรับการอ่านกราฟ Whale Wallet Activity หากพบว่ากระเป๋าเหล่านี้กำลังสะสมเหรียญเพิ่ม มักเป็นสัญญาณบวก เพราะเจ้ามือมักมีข้อมูลเชิงลึกก่อนตลาดทั่วไปเสมอ แต่ถ้าเจ้ามือเริ่มกระจายเหรียญ หรือโอนเข้าเว็บเทรดจำนวนมาก อาจเป็นสัญญาณว่าแรงขายกำลังมา และนักเทรดควรระมัดระวัง
5 SOPR (Spent Output Profit Ratio)
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกตัวหนึ่งที่มีความน่าสนใจ โดยมันใช้ชื่อว่า SOPR หรือ Spent Output Profit Ratio ซึ่งบ่งบอกว่าการขาย BTC ในช่วงเวลานั้น ผู้ขายได้กำไรหรือขาดทุน ถ้า SOPR มีค่าน้อยกว่า 1 แปลว่าคนขายในช่วงนั้นยอมขายขาดทุน ซึ่งมักเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเจ็บ และอาจใกล้ถึงจุดกลับตัว ในทางกลับกัน ถ้า SOPR สูงมากเกินไป คนขายอยู่ในกำไรเยอะ แปลว่ามีแรงขายทำกำไรเพิ่มขึ้น และราคาอาจปรับตัวลดลง

6 Mining Pool Reserves (เหรียญที่นักขุดถือไว้ในคลัง)
ถัดมา ข้อมูลทางฝั่งนักขุดเองก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าข้อมูลอื่น ๆ โดย Mining Pool Reserves ชี้ให้เห็นว่านักขุดยังคงเก็บเหรียญเอาไว้ในคลังหรือเทขายออกมาเพื่อทำกำไร

7 MVRV Ratio (Market Value to Realized Value)
สุดท้ายนี้ MVRV ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญอีกตัว เพราะ MVRV จะเป็นตัวบอกว่า BTC ตอนนี้ “แพงหรือถูก” เทียบกับราคาต้นทุนเฉลี่ยของตลาด สำหรับวิธีการอ่านค่าดังกล่าวให้นักเทรดดูอัตราส่วนฝั่งซ้ายมือ ถ้าหากตัวเลขต่ำกว่า 1.0 แปลว่าคนส่วนใหญ่ขาดทุน และมักเป็นช่วงที่น่าสนใจสำหรับการสะสม BTC ระยะยาว แต่ถ้าหากตัวเลขสูงเกิน 3.0 แปลว่าคนส่วนใหญ่อยู่ในจุดกำไร และอาจเริ่มขายได้ทุกเมื่อ

สรุป
ข้อมูลออนเชนแม้จะมีความแม่นยำที่สูงและสะท้อนถึงสถานการณ์จริงในตลาด แต่เนื่องด้วยตลาดคริปโตเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง ในบางครั้งข้อมูลการวิเคราะห์อาจคาดเคลื่อนได้ ทำให้สามารถทำได้เพียงแค่คาดเดาแนวโน้มเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนไม่ควรที่จะปักใจเชื่อทั้งหมด และศึกษาข้อมูลให้พร้อมก่อนเริ่มการลงทุน

