กระแสการนำสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคลังบริษัทกำลังขยายวงกว้างออกจากแวดวงเทคโนโลยีไปสู่ธุรกิจดั้งเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดในสัปดาห์เดียวมีบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งเทคโนโลยีการเกษตร, การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค หรือแม้กระทั่งบริษัทสิ่งทอของญี่ปุ่นที่มีอายุเกือบ 80 ปี ได้ประกาศจัดสรรเงินทุนเข้าซื้อโทเคนอย่าง Bitcoin (BTC), XRP และ Solana (SOL)

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Nature’s Miracle บริษัทเทคโนโลยีการเกษตร ได้ประกาศว่าจะจัดสรรเงินทุนสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างคลังสินทรัพย์ที่เป็น XRP ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นหนึ่งในองค์กรล่าสุดที่หันมาใช้กลยุทธ์ “คลัง Altcoin” ในวันเดียวกัน Upexi บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ก็ได้เปิดเผยว่าได้เข้าซื้อ 83,000 SOL คิดเป็นมูลค่า 16.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับคลังของบริษัทเช่นกัน ขณะที่หนึ่งวันก่อนหน้านั้น Kitabo บริษัทมหาชนของญี่ปุ่นซึ่งทำธุรกิจด้านสิ่งทอและการรีไซเคิล ก็ได้เปิดเผยแผนการที่จะเข้าซื้อ Bitcoin มูลค่า 800 ล้านเยน (ประมาณ 5.6 ล้านดอลลาร์) เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองของบริษัท
การเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลของ “ตำรา Michael Saylor” ที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งได้เปลี่ยนมุมมองขององค์กรต่างๆ จากที่เคยมองคริปโตเป็นเพียงสินทรัพย์เก็งกำไร มาสู่การบริหารจัดการงบดุลในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทที่ดำเนินกลยุทธ์ในลักษณะนี้

รายงานจากบริษัทร่วมทุน Breed ได้เตือนว่าบริษัทที่ถือครอง Bitcoin จำนวนมากอาจต้องเผชิญกับ “วงจรหายนะ” (death spiral) หากราคาของ Bitcoin ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจบีบให้บริษัทที่ใช้เลเวอเรจสูงต้องเทขาย BTC ที่ถืออยู่ออกมาเพื่อชำระหนี้ และจะยิ่งกดดันให้ราคาดิ่งลงไปอีก นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังอาจต้องเผชิญกับคดีความจากนักลงทุนหากตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยความเสี่ยงเหล่านี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นสำหรับบริษัทที่เลือกถือครอง Altcoin ซึ่งมักจะมีความผันผวนสูงกว่าและอาจมีมูลค่าลดลงถึง 90% ในช่วงตลาดหมี “Altcoin ไม่มีราคาพื้นฐานและจะจบสิ้นลงทันทีที่ ‘เพลงจบ'” ผู้ใช้นามแฝง Viktor กล่าวบน X “ในขณะที่บริษัทที่ถือ BTC ยังมีราคาพื้นฐานที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นตามกาลเวลา”
ที่มา: cointelegraph

