ในช่วงตลาดขาขึ้น หรือที่หลายคนมักจะเรียกว่าช่วงตลาด Bull Run ราคาเหรียญคริปโตส่วนใหญ่มักพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงจนสร้างเศรษฐีหน้าใหม่ได้เสมอ แต่เส้นทางนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปถึงฝั่งฝัน เช่นเรื่องของนักเทรดนิรนามรายนี้
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักเทรดรายหนึ่งได้ทำการฝากเงินเข้าไปยัง perp DEX Hyperliquid เป็นเงินกว่า $125,000 (4 ล้านบาท) และได้ทำการลงทุนแบบหมดหน้าตักเสี่ยงตายไปกับ Ethereum โดยไม่กระจายความเสี่ยงใด ๆ อีกทั้งยังนำกำไรที่ได้เข้าไปเพิ่มขนาดของโพสิชันขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันเวลาผ่านไป โพสิชันดังกล่าวได้เติบโตขึ้นอย่างมากจนมีมูลค่าสูงถึง $303 ล้าน และถ้านักเทรดรายนี้ทำการขายจะสามารถกวาดกำไรได้มากถึง $43 ล้าน (1.3 พันล้านบาท) คิดเป็นกำไร 344 เท่าจากเงินต้น แต่เขากลับยังไม่ขาย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนสิงหาคมราคา Ethereum ได้เริ่มร่วงลงอย่างรุนแรงจากการเทขายเป็นอย่างหนัก ทำให้นักเทรดรายนี้ยุติโพสิชันของตัวเองอย่างสมบูรณ์ (ไม่ได้ระบุว่าโดนบังคับขายหรือไม่) และได้รับกำไรไปเพียง $6.86 ล้าน (222 ล้านบาท) หรือกำไรประมาณ 55 เท่าตัว

เงินต้นแค่นั้นทำได้อย่างไร ?
สำหรับสาเหตุที่นักเทรดรายนี้สามารถทำกำไรได้มหาศาล มาจากการใช้สองเครื่องมือหลัก ๆ อย่าง การใช้เลเวอเรจ และ การใช้กลยุทธ์ทบต้น
เขาเลือกเอากำไรทุกครั้งที่ชนะ กลับไปใส่เพิ่มในโพสิชันเดิม ทำให้ขนาดการลงทุนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งบวกเยอะ โพสิชันก็ยิ่งโตไว เหมือนหิมะกลิ้งกลายเป็นก้อนยักษ์ แน่นอนว่าผลตอบแทนก็พุ่งแรง แต่ความเสี่ยงก็มหาศาลเช่นกัน
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ จังหวะเวลา เพราะในช่วงที่เขาทบต้นอยู่นั้น ตลาดเริ่มมีสัญญาณเปลี่ยนทิศ เจ้ามือเริ่มลดความเสี่ยง ขณะเดียวกันกองทุน ETH ETF สปอตในสหรัฐฯ ก็มีเงินไหลออกกว่า 59 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการหยุดกระแสเงินทุนที่เคยไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การที่เขาเลือกปิดโพสิชันออกไปในตอนนั้น แม้จะไม่ได้กำไรสูงสุดเหมือนตอนพีค แต่ก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจเหลือกำไรน้อยกว่านี้ก็ได้ เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาไม่ได้รีบขายตอนที่พอร์ตขึ้นไปสูงสุดจริง ๆ
เราได้อะไรจากบทเรียนนี้ ?
กลยุทธ์การทบต้นแม้จะได้ผลตอบแทนที่ดีในเวลาอันสั้น แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงไม่แพ้กัน มิหนำซ้ำเมื่อมีการนำเลเวอเรจเข้าช่วยยิ่งทำให้ความเสี่ยงเท่าทวีคูณ
จากเรื่องราวนี้ นักเทรดรายดังกล่าวถือว่า “ยังโชคดี” ที่สามารถทำกำไรออกมาได้ ต่างจากเคสของ Qwatio ที่ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน เคยทำกำไรได้กว่า $6.8 ล้าน แต่สุดท้ายต้องเสียเงินกลับไปให้ตลาดกว่า $10 ล้าน เพราะความผันผวนที่ไม่ปรานีใคร
บทเรียนสำคัญคือ นักเทรดต้องถามตัวเองเสมอว่า เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน และควรเตรียมใจสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะตลาดคริปโตเปลี่ยนทิศทางได้ในพริบตา
อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การตั้งเป้าหมาย เพราะถ้าไม่มีราคาที่ชัดเจนว่าจะขายเมื่อไร ความโลภจะเข้าครอบงำ ทำให้เรา “รอไปเรื่อย ๆ” จนสุดท้ายอาจพลาดโอกาสไปทั้งหมด
และเหนือสิ่งอื่นใด เลเวอเรจไม่ใช่สูตรวิเศษ มันเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยเร่งทั้งกำไรและขาดทุน หากใช้เกินตัว มันจะไม่พาเราเป็นเศรษฐี แต่จะพาเรากลับไปจุดศูนย์เร็วกว่าเดิม
ที่มา : Cointelegraph

