แม้จะมีช่วงเวลาที่มืดมนของตลาดเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา แต่สกุลเงินดิจิทัลยังคงเป็นประเภทสินทรัพย์ใหม่ที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ สำหรับนักลงทุน และติดท็อปชาร์ตการค้นหายอดนิยมของ Google ในปี 2022 โดย Bitcoin มียอดการค้นหาแซงหน้า TikTok, Apple และ NFL
ตามข้อมูลล่าสุด ปัจจุบันอุตสาหกรรมคริปโตมีโปรเจกต์ cryptocurrency มากกว่า 20,000 โครงการทั่วโลก และขณะนี้มีผู้ใช้ crypto ทั้งหมดประมาณ 295 ล้านคนและ 20% ล้วนเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลของ Debthammer
ด้วยข้อมูลข้างต้น ในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจึงอยากมานำเสนอ 7 เว็บและแอพพลิเคชั่นเทรดคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน หรือซื้อสกุลเงินดิจิทัลในปี 2023 เพื่อเป็นตัวเลือกในการประกอบการตัดสินใจ
Binance
ปัจจุบัน Binance เป็นระบบนิเวศบล็อกเชนชั้นนำของโลกและเป็นเว็บเทรดคริปโตที่มีวอลลุ่มซื้อขายมากที่สุดในโลก
สำหรับค่าธรรมเนียมการซื้อขาย Bitcoin ในขณะที่ Binance จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ และการใช้เหรียญ BUSD ในการเทรดเหรียญคริปโตแบบ Spot ยังฟรีค่าธรรมเนียมในขณะนี้อีกด้วย ส่วนการใช้เหรียญ BNB เทรด USDⓈ-M ในตลาด Binance Future จะช่วยลดค่าธรรมเนียมได้มากถึง 10% ปัจจุบัน Binance รองรับสกุลเงินคริปโตมากมายกว่า 600 สกุล
ข้อดี
- มีเหรียญคริปโตให้เลือกเทรดเยอะ
- ติดต่อ Support ได้ตลอดเวลา
- มีความปลอดภัยสูง
ข้อเสีย
- กำลังมีประเด็นในเรื่องกฎระเบียบ
- ถูกโจมตีด้วยข่าว FUD จำนวนมาก
Kraken
Kraken เป็นหนึ่งในเว็บเทรด crypto ที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 ในช่วงยุคหินยุคของ crypto โดยแพลตฟอร์มนี้เสนอเหรียญที่หลากหลายพร้อมค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในกระดานเทรดไม่กี่แห่งในสหรัฐฯ ที่เสนอการซื้อขายมาร์จิ้นและชุดเครื่องมือการซื้อขายขั้นสูงอื่นๆ เช่น ประเภทคำสั่งขั้นสูงและการซื้อขายล่วงหน้า
Kraken นั้นมี 2 แพลตฟอร์มด้วยกันก็คือตัวปกติ และตัว Pro ซึ่งในตัว Pro นั้นอาจจะได้รับค่าธรรมเนียมที่ถูกลงกว่าเดิม โดยค่าธรรมเนียมปกตินั้นคิดเป็น 0.9% สำหรับ Stablecoins และ 1.5% สำหรับคริปโตเหรียญอื่น ๆ ซึ่ง Kraken นั้นเปิดให้เทรดได้ราว ๆ 120+ เหรียญเท่านั้น
ข้อดี
- ฟีเจอร์ขั้นสูงที่มีอยู่ใน Kraken Pro เช่น การเทรดมาร์จิ้นและการ Stake
- ตัวเลือกการบริการลูกค้าที่ดี รวมถึงแชทบอทและการสนับสนุนทางโทรศัพท์
- ค่าธรรมเนียมการถอน Bitcoin (BTC) ที่ค่อนข้างต่ำ
- เผยแพร่สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายเกี่ยวกับ cryptocurrency
ข้อเสีย
- ไม่มีให้บริการใน 50 รัฐ
- มีตัวเลือกเหรียญคริปโตน้อย
Germini
Germini เป็นแพลตฟอร์มการเทรดที่เหมาะสำหรับนักเทรดหน้าใหม่ รวมไปยังหน้าเก่าด้วย เท่านั้นยังไม่พอตัวแพลตฟอร์มเองก็อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์มากมาย เช่น โปรแกรม Gemini Earn ที่ไม่เหมือนใครเพื่อรับดอกเบี้ยจากการถือครอง crypto และบัตรเครดิต Gemini
ข้อดีอีกอย่างที่สำคัญคือ Gemini มีให้บริการใน 50 รัฐ และบริษัทกล่าวว่ามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดการปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา และค่าธรรมเนียมโดยปกตินั้นคิดเป็น ค่าธรรมเนียมผู้สร้างหัก 0.2% ค่าธรรมเนียมผู้รับ 0.4% ซึ่ง Germini นั้นเปิดให้เทรดได้ราว ๆ 120+ เหรียญเท่านั้น
ข้อดี
- เรียบง่ายและใช้งานง่าย
- มีให้บริการใน 50 รัฐ รวมถึงนิวยอร์ก
- ผู้ใช้งานสามารถรับรางวัลเงินคืนเป็น crypto ผ่านการใช้งานบัตรเครดิต Gemini
ข้อเสีย
- มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ซับซ้อน
- มีตัวเลือกการบริการลูกค้าที่จำกัด
- ไม่มีเหรียญยอดนิยมบางประเภท เช่น Cardano (ADA)
Crypto.com
Crypto.com มีตัวเลือกสกุลเงินดิจิทัลให้เลือกมากมาย โดยมีมากกว่า 250 รายการ แพลตฟอร์มดังกล่าวนำเสนอสิทธิพิเศษและรางวัล crypto สำหรับผู้ใช้บัตรวีซ่า Crypto.com อีกด้วย
ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากโทเค็นยูทิลิตี้ Cronos (CRO) ซึ่งเป็นโทเค็นประจำ Crypto.com เพื่อชำระค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์มและรับผลประโยชน์อื่นๆ
นอกจากนั้นแล้วค่าธรรมเนียมโดยปกตินั้นคิดเป็น ค่าธรรมเนียมผู้ทำ 0.075% / ผู้รับ 0.075% ซึ่งทาง crypto.com นั้นเปิดให้เทรดได้ราว ๆ 250+ เหรียญเท่านั้น
ข้อดี
- มีส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายสำหรับผู้ถือเหรียญ CRO
- รับเงินคืนมากถึง 8% จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต Crypto.com Visa สำหรับผู้ใช้ที่มียอดคงเหลือสูงใน CRO
- มีการซื้อขายมาร์จิ้นจำกัด
- คะแนนความปลอดภัยทางไซเบอร์สูง
ข้อเสีย
- มีวอลุ่มเทรดน้อย ค่าธรรมเนียมสูง
KuCoin
KuCoin ได้รับการขนานนามว่าเป็นเว็บเทรดคลังแสงแห่งเหรียญ Altcoins ที่หลากหลายด้วยค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ เว็บเทรด Kucoin มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ในขณะที่ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาสามารถเข้าถึงและใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายได้ แต่ KuCoin ไม่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการในสหรัฐอเมริกา
สำหรับค่าธรรมเนียมโดยปกตินั้นคิดเป็น ค่าธรรมเนียมผู้สร้าง 0.1% ค่าธรรมเนียมผู้รับ 0.1% *ระดับค่าธรรมเนียมการซื้อขาย LV0 ซึ่งทาง Kucoin นั้นเปิดให้เทรดมากกว่า 700 เหรียญ
ข้อดี
- มีเหรียญคริปโตที่หลายหลาย
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่แข่งขันได้
- ส่วนลดค่าธรรมเนียมตามวอลุ่มเทรด
- เสนอฟีจเรอ์ขั้นสูง เช่น การซื้อขายมาร์จิ้นและการซื้อขายล่วงหน้า
- มีบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
ข้อเสีย
- KuCoin ไม่ได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกา
- เงินที่เก็บไว้ในแพลตฟอร์มจะไม่ได้รับการประกัน
- ประสบปัญหาการแฮ็กครั้งใหญ่ในปี 2020
Coinbase
Coinbase เป็นแพลตฟอร์มที่ถือว่าได้สร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุนส่วนใหญ่ได้ดีที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู้ตลาดคริปโต เพราะแพลตฟอร์มนี้มีความโดดเด่นด้วยส่วนต่อประสานที่ใช้งานง่าย ซึ่งทำให้การทำธุรกรรม crypto แบบครั้งเดียวหรือทำซ้ำได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นเว็บเทรดยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ อย่างการวิเคราะห์ข้อมูลเทคนิคเชิงลึก ซึ่งหากใครสนใจสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ Advanced Trade ของ Coinbase ได้ และจะเสริมด้วยความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ Advanced Trade ยังมาแทนที่ฟีเจอร์บางอย่างที่ Coinbase Pro เสนอให้ ซึ่งยกเลิกไปในเดือนพฤศจิกายน 2022
ในส่วนของค่าธรรมเนียมนั้น ค่าธรรมเนียมผู้สร้างอยู่ 0.4% / ค่าธรรมเนียมผู้รับ 0.6% และสามารถเทรดสกุลเงินดิจิทัลได้มากกว่า 200 สกุล
ข้อดี
- ส่วนต่อประสานที่ใช้งานง่ายและขั้นตอนการซื้อที่ง่าย
- บทวิจารณ์จากผู้ใช้ที่แข็งแกร่งและคุณลักษณะด้านความปลอดภัย
- อนุญาตให้ผู้ใช้เดิมพัน Algorand (ALGO), Cosmos (ATOM), Ethereum (ETH), Tezos (XTM), Cardano และ Solana (SOL)
ข้อเสีย
- ค่าธรรมเนียมสูง
- ไม่มีให้บริการใน 50 รัฐ ขณะนี้ฮาวายกำลังรอการสนับสนุน ผู้ที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์กไม่มีสิทธิ์ stake ADA, ETH, XTM หรือ ATOM
Bityard
BitYard เป็นแพลตฟอร์มการเทรดที่มีมาได้ไม่นานนัก โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 นอกจากนั้นแล้ว BitYard เป็นหนึ่งในบริษัทเทรดไม่กี่แห่งที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของอุตสาหกรรมการเงินและมีใบอนุญาตในออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ผู้ใช้ที่สนใจในการเทรดแบบ Spot จะได้รับค่าธรรมเนียมการซื้อขายในราคาต่ำและสกุลเงินดิจิทัลยอดนิยมที่คัดสรรมาอย่างดี และแพลตฟอร์มนี้ให้บริการการซื้อขายในกว่า 150 ประเทศ
โดยสำหรับค่าธรรมเนียม ผู้สร้าง/ผู้รับจะอยู่ที่ระหว่าง 0.1% ถึง 0.3% และมีเหรียญคริปโตที่สามารถเทรดได้ราว 40 เหรียญเท่านั้น
ข้อดี
- มีอยู่ในทั้งหมด 50 รัฐ
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำ
- แพลตฟอร์มระหว่างประเทศที่รับมากกว่า 50 สกุลเงิน fiat
- ให้บริการทั้งกระเป๋าเงินออนไลน์และกระเป๋าเงินเย็น
ข้อเสีย
- ไม่ได้ให้คุณสมบัติการซื้อขายขั้นสูงมามากนัก
- ไม่มีการ stake และระบบให้กู้ยืม
- ไม่มีกองทุนประกัน
สรุป
สำหรับ 7 แพลตฟอร์มที่มาแรงในปี 2023 ที่จัดอับดับโดย Forbes แต่ละอันก็มีความโดดเด่นต่างกันไป และข้อเสียก็แตกต่างกันเช่นกัน อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกกระดานเทรดนั้นจะต้องสอดรับกับผู้ใช้งานด้วย
ที่มา : forbes