Jack Straw ผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโตเคอร์เรนซี ได้จุดประเด็นโต้เถียงด้วยการยืนยันว่า XRP อาจเข้ามาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในญี่ปุ่น โดยคำคาดการณ์ที่กล้าหาญนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ Ripple ได้ประกาศความร่วมมือกับ HashKey DX เพื่อเดินหน้านำเสนอบริการชำระเงินข้ามพรมแดนบนฐานข้อมูลของ XRP Ledger ในประเทศญี่ปุ่น
ความร่วมมือนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอบริการทางการเงินในห่วงโซ่อุปทานที่ขับเคลื่อนโดยใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน XRPL โดยได้รับการสนับสนุนจาก SBI Group ยักษ์ใหญ่ทางการเงินของญี่ปุ่น หากการคาดการณ์ของ Jack Straw เป็นจริง การเคลื่อนไหวนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบการเงินของญี่ปุ่น และอาจปฏิวัติการค้าระหว่างประเทศ
การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของ Ripple ที่เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น
ความร่วมมือระหว่าง Ripple กับ HashKey DX ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเข้าสู่ตลาดการเงินในห่วงโซ่อุปทานของญี่ปุ่น ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว รายงานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า บทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชนในด้านการเงินห่วงโซ่อุปทานนั้น มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 360 ล้านดอลลาร์ เป็น 13.4 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030
การจับมือกับ HashKey DX นำไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการเงินห่วงโซ่อุปทานของ HashKey DX ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศจีน โดยมียอดการค้ามากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง Ripple ตั้งเป้าที่จะเลียนแบบความสำเร็จนี้ในญี่ปุ่น
ความริเริ่มครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กว้างไกลของ Ripple ในการส่งเสริมการนำ XRP Ledger ไปใช้ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระบบการเงินโลก
การยืนยันของ Jack Straw ที่ว่า XRP จะสามารถแทนที่ดอลลาร์สหรัฐในญี่ปุ่นนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ ซึ่ง Jack Straw มองว่า ญี่ปุ่นได้เริ่มนำโซลูชันที่ใช้ XRPL มาใช้งานแล้ว โดยยกตัวอย่าง การเปิดตัวบริการชำระเงินระหว่างประเทศที่ใช้ XRP ของ SBI Group เมื่อกันยายนปีที่แล้ว
ตามที่ Jack Straw กล่าวว่า การเคลื่อนไหวนี้บ่งชี้ถึงความเต็มใจของญี่ปุ่นที่จะหาทางเลือกอื่น นอกเหนือจากระบบธนาคารแบบดั้งเดิม เขายังคาดการณ์ต่อไปว่า XRP อาจเป็นแหล่งสภาพคล่อง (liquidity source) เพื่อแทนที่ดอลลาร์ในการดำเนินการแลกเปลี่ยนเงินตราของญี่ปุ่น ซึ่งอาจลดการพึ่งพาเครือข่าย SWIFT
ที่มา : zycrypto

