Anthony Pompliano ผู้ร่วมก่อตั้ง Morgan Creek Digital ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า การปราบปราม Bitcoin (BTC) ของรัฐบาลอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยเขายกตัวอย่างประเทศต่าง ๆ เช่น ปากีสถาน, ไนจีเรีย และจีน ที่การจำกัดการใช้งานคริปโตกลับทำให้เกิดความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้มากขึ้น
Pompliano ระบุว่า ความพยายามในการแบน Bitcoin นั้น “เน้นย้ำให้เห็นถึงความทนทานของมัน” และยิ่งรัฐบาลพยายามกดดัน Bitcoin มากเท่าใด ผู้คนก็จะยิ่งหาทางใช้มันเป็นทางเลือกแทนเงินตราที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลมากขึ้น
นอกจากนี้การแบน Bitcoin ยังเป็นการชี้ว่า ผู้คนเริ่มเห็นว่าการแทรกแซงของรัฐบาลในเรื่องการเงินเป็นไปได้ยากขึ้นในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้านคริปโตที่เข้มงวด ส่งผลให้ผู้คนหันไปหาสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเป็นอิสระมากกว่า
เขายังเน้นย้ำว่าลักษณะที่เป็นการกระจายอำนาจ (decentralized) ของ Bitcoin เป็นสิ่งที่ปกป้องมันจากการแทรกแซงของรัฐบาล เพราะแม้ว่ารัฐบาลจะออกกฎที่เข้มงวดเพียงใด Bitcoin ก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่
“พวกเขาไม่สามารถทำลาย Bitcoin ได้ แต่พลเมืองอาจจะได้รับผลกระทบชั่วคราว”
Pompliano ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผู้สมัครทางการเมืองในสหรัฐฯ ต่อ Bitcoin โดยเขาปฏิเสธแนวคิดที่ว่า Kamala Harris เป็นศัตรูกับ Bitcoin มากกว่าผู้สมัครคนอื่น โดยชี้ให้เห็นว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและต่อต้านคริปโต เช่น Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ที่วิจารณ์คริปโต และ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple ที่เป็นผู้สนับสนุนคริปโต ทั้งคู่ก็ยังสนับสนุน Harris
นอกจากนี้ เขายังเปรียบเทียบการห้ามคริปโตกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างการค้ายาเสพติดและนิโคติน ที่การห้ามปรามกลับทำให้เกิดความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่องทางอื่น ๆ เพราะเขาเชื่อว่าการออกกฎที่เข้มงวดขึ้นจะดึงดูดความสนใจมายัง Bitcoin และทำให้ผู้คนจะเริ่มตระหนักว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมสินทรัพย์แบบกระจายอำนาจนี้ได้
สุดท้าย Pompliano ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานะของตลาด Bitcoin ในปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นถึงการเติบโตและความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นของมัน แต่เนื่องจากการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในกระแสหลัก (mainstream) ทำให้ความผันผวนลดลง ซึ่งอาจหมายถึงผลตอบแทนที่ลดลง แต่เขาเชื่อว่า Bitcoin จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์แบบดั้งเดิม
ที่มา: TheCoinRepublic