เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้หุ้นขอบริษัท MicroStrategy ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นแซงหน้าหุ้นบริษัทดังหลาย ๆ ตัวอันเนื่องมาจากกลยุทธ์ Bitcoin สุดฉลาดล้ำของ Michael Saylor แต่วิธีการดังกล่าวจะยั่งยืนจริง ๆ หรือ
รายเงินเปิดเผยว่า MicroStrategy มีแผนที่จะระดมทุนเพิ่มขึ้นถึง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ภายใน 3 ปี ซึ่งนักลงทุนรายย่อยก็ต่างสงสัยว่า แผนการดังกล่าวจะเป็นการดันให้ราคา Bitcoin ทะลุ $100,000 หรือนี่จะเป็นเพียงแค่ฉากหน้าของฟองสบู่ที่กำลังจะแตก
ทั้งนี้แผนการ 21/21 Plan ของ MicroStrategy จะเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ ซึ่งแบ่งจำนวนเท่า ๆ กันระหว่างการขายหุ้นและตราสารหนี้ระยะยาว โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทได้ระดมทุน 4.6 พันล้านดอลลาร์ โดยการขายหุ้น 13.6 ล้านหุ้น พร้อมกับการออกพันธบัตรแปลงสภาพมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ รวมกันแล้วเพียงพอที่จะซื้อ Bitcoin 78,890 เหรียญ (6.62 พันล้านดอลลาร์) เพื่อเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินกลยุทธ์
แต่หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ของพวกเขาคือพันธบัตรแปลงสภาพอัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งนักลงทุนที่ซื้อพันธบัตรเหล่านี้จะไม่ได้รับการจ่ายดอกเบี้ยปกติ แต่จะได้รับผลกำไรหากราคาหุ้นของ MicroStrategy เพิ่มสูงขึ้น และพวกเขาจะสามารถแปลงพันธบัตรเป็นหุ้นในราคาพรีเมียม สิ่งนี้ช่วยให้ MicroStrategy สามารถซื้อ Bitcoin ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยอาศัยราคาหุ้นของบริษัทในการมอบผลตอบแทนให้กับผู้ถือพันธบัตร
อย่างไรก็ตามแม้กลยุทธ์จะเฉียบขาดแต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยง ซึ่งผูกมัดกับความผันผวนกับราคา Bitcoin โดยถ้าราคาของบิทคอยน์ยังทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะสามารถดำเนินงานต่อไปได้ ทว่า หากราคาของ Bitcoim ร่วงอย่างรุนแรง พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสภาพคล่อง และจำเป็นต้องขาย Bitcoin ออกไปในราคาที่ต่ำเพื่อชดใช้หนี้ให้ทัน
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันหุ้นของ MicroStrategy มีการซื้อขายเป็นมูลค่าที่มากกว่า Bitcoin ถึง 3.3 เท่าอันเนื่องมาจากความคาดหวังของนักลงทุน แต่เมื่อใดก็ตามที่ตัวเลขดังกล่าวลดลงต่ำกว่า 1.5 หมายความว่าผู้ถือหุ้นอาจจะไม่ได้กำไรตามคาดหวัง และผู้ถือพันธบัตรแปลงสภาพอาจหลีกเลี่ยงการแปลงเป็นหุ้น หากหุ้นมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin สิ่งนี้อาจสร้างแรงกดดันทางการเงินให้กับ MicroStrategy เนื่องจากบริษัทจะต้องชำระหนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรเป็นเงินสดแทนที่จะเป็นหุ้น
ดังนั้นถ้าต้องการจะขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น หมายความว่าตัวของบริษัทจำเป็นที่จะต้องมีสภาพคล่องและ cash flow มหาศาลมากเพียงพอที่จะจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมถึงรับมือกับความผันผวนของ Bitcoin โดยไม่ส่งผลกระทบกับการเงินของบริษัท
ที่มา : Cointelegraph