<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทำไมเว็บเทรดคริปโทฯ ในไทยไม่เปิดให้ใช้เลเวอเรจ? เจาะลึกความเสี่ยงและข้อจำกัด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากเข้ามาเรียนรู้และลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเริ่มให้ความสนใจกับเครื่องมือการเทรดที่หลากหลาย เช่น การเทรดแบบมาร์จิ้นหรือใช้เลเวอเรจ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยอาจสงสัยว่าเหตุใดเว็บเทรดคริปโทฯ ในประเทศจึงไม่เปิดให้ใช้ฟีเจอร์เลเวอเรจเหมือนกับเว็บต่างประเทศ ทั้งที่การเทรดรูปแบบนี้ ได้รับความนิยมและสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูง

คำตอบของข้อสงสัยนี้ อยู่ที่แนวทางการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ โดยมุ่งเน้นการปกป้องนักลงทุนรายย่อยจากความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

แม้ปัจจุบันในข้อกฎหมายจะไม่ได้ระบุว่า ห้ามใช้บริการเลเวอเรจโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ ก.ล.ต. กำหนดให้เว็บเทรดคริปโทฯ ที่ได้รับใบอนุญาตในไทยสามารถให้บริการได้เฉพาะการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบ “Spot” เท่านั้น กล่าวคือ เป็นการซื้อขายเหรียญจริงแบบทันที ไม่มีการให้บริการผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อน เช่น Futures, Options หรือเครื่องมือที่มีเลเวอเรจ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินรุนแรงได้ในระยะเวลาอันสั้น

การใช้เลเวอเรจในการเทรดคริปโทฯ แม้จะช่วยขยายผลตอบแทนจากการลงทุนได้หลายเท่า แต่ก็สามารถเร่งการขาดทุนได้รุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างคริปโทฯ หากราคาขยับสวนทาง นักลงทุนอาจถูก “ล้างพอร์ต” หรือขาดทุนจนหมดทุนได้ทันที นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเรื่อง “Margin Call” ที่อาจบังคับปิด Poistion โดยอัตโนมัติหากเงินประกันไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ ก.ล.ต. อาจมองว่าไม่เหมาะกับผู้ลงทุนรายย่อยที่ยังขาดประสบการณ์

นอกจากนี้ แนวทางของ ก.ล.ต. ไทยยังสอดคล้องแนวทางของหน่วยงานกำกับดูแลในต่างประเทศ เช่น FCA ของสหราชอาณาจักร ที่ออกคำสั่งห้ามขายผลิตภัณฑ์คริปโทฯ ฟิวเจอรส์ ให้กับนักลงทุนรายย่อย ด้วยเหตุผลเรื่องความผันผวนสูงและการปกป้องผู้บริโภคเช่นเดียวกัน

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ การป้องกันการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงิน ก.ล.ต. จึงเข้มงวดกับการอนุญาตให้บริการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเว็บเทรดต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมักเปิดให้ใช้เลเวอเรจได้แบบไร้ข้อจำกัด การใช้แพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับอนุญาตเหล่านี้นอกจากจะมีความเสี่ยงด้านกฎหมายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง สูญเสียเงินทุน และไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไทย

ผลจากข้อจำกัดนี้ นักลงทุนไทยที่ต้องการเทรดคริปโทฯ ด้วยเลเวอเรจจึงจำเป็นต้องหันไปใช้เว็บเทรดต่างประเทศ ซึ่งแม้จะมีฟีเจอร์ครบถ้วน แต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องของความปลอดภัยทางกฎหมาย หากเกิดปัญหา เช่น ถูกแฮ็ก ถูกบล็อกบัญชี หรือโดนระงับการเข้าถึง ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์คุ้มครองจากกฎหมายไทย

สุดท้ายนี้ แม้การไม่มีบริการเลเวอเรจในเว็บเทรดคริปโทฯ ไทยจะถือเป็นข้อจำกัดที่หลายคนมองว่า “ขาดสีสัน” แต่ในอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนถึงแนวทางของ ก.ล.ต. ที่เน้นสร้างความมั่นคงของระบบและปกป้องนักลงทุนจากความเสี่ยงเกินจำเป็น ถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดคริปโทฯ ไทยในระยะยาว