<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจาะเบื้องหลังการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin และมันจะไปสุดที่ตรงไหน?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ปัจจุบัน ทั้งในหมู่นักเทรดและผู้คนทั่วไป ต่างก็ทราบกันดีว่า Bitcoin ได้สร้างสถิติราคาสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยแตะระดับ $118,000 ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้ในช่วงหลังจะมีการย่อตัวลงเล็กน้อย แต่ราคาก็ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง จนกระทั่งพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดล่าสุดที่ $123,218 ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 กรกฎาคม

การเคลื่อนไหวของราคาที่ร้อนแรงนี้ ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า อะไรคือแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังและที่สำคัญ หลังจากนี้ราคาของ Bitcoin จะไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน?

สาเหตุที่ทำให้ Bitcoin พุ่ง

โดยหลัก ๆ แล้วสาเหตุที่ Bitcoin พุ่งในช่วงขณะนี้จะเกิดจากปัจจัยทางเทคนิค เช่นการเบรคแนวต้านทางจิตวิทยา และความเคลื่อนไหวของนักลงทุน มากกว่าข่าวสารหรือปัจจัยภายนอก โดยถึงแม้ว่าในสัปดาห์นี้จะมีความเคลื่อนไหวจากฝั่งของรัฐบาลอย่างการประชุม Crypto Week แต่ข้อมูลเผยให้เห็นว่าแรงผลักส่วนใหญ่นั้นมาจากฝั่งของนักลงทุนสถาบัน 

André Dragosz หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Bitwise เปิดเผยว่า สิ่งที่เป็นตัวผลักดันให้ราคา Bitcoin ทำสถิติใหม่คือนักลงทุนระดับสถาบัน เห็นได้จากการที่กองทุน ETF มีเงินไหลเข้าไม่ต่ำกว่าวันละ $1 พันล้าน นับตั้งแต่ทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันแรกซึ่งถึงแม้เป็นเรื่องดีแต่ผลสำรวจก็เผยว่าเงินที่ถูกอัดฉีดเข้ามาใหม่นี้ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มาจากรายย่อย เพราะปัจจุบันรายย่อยเริ่มมองว่า Bitcoin กลายเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมและเลิกให้ความสนใจ

ข้อมูลดังกล่าวยิ่งน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นเมื่อนำมาเทียบกับ OBV (On-Balance Volume) ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์ที่วัดแรงซื้อ-ขายจากปริมาณการเทรดในแต่ละวัน ในกรณีของ Bitcoin ตอนนี้ OBV เคลื่อนตัวขึ้นพร้อมกับราคา หมายความว่า “แรงซื้อจริง” ไม่ใช่แค่ภาพลวงตาจากตลาดบางแพลตฟอร์ม

เมื่อราคาพุ่ง และ OBV ก็พุ่งตาม นั่นคือสัญญาณว่า เงินยังไหลเข้ามาในระบบอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนไม่เพียงแค่ตามกระแส แต่กำลัง “เข้าซื้อ” จริงบนพื้นฐานของแนวโน้มราคา ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกในระยะกลางถึงระยะยาว

Bitcoin จะไปได้ไกลแค่ไหน ?

หนึ่งในคำถามยอดฮิตช่วงราคาทำสถิติใหม่คงจะหนีไม่พ้น “เป้าต่อไปจะสุดที่เท่าไร” เพราะไม่ว่าใครก็อยากรู้ราคายอดของ Bitcoin กันทั้งนั้น โดยในตอนนี้หากเทียบข้อมูลทางเทคนิคดูก็พบว่าขาขึ้นของ Bitcoin ยังคงมีแววไปได้ต่อ

ยกตัวอย่างเช่นดัชนี aSOPR (Adjusted Spent Output Profit Ratio) ที่เผยให้เห็นว่าเหรียญซึ่งถูกเคลื่อนย้ายบนเครือข่ายนั้นถูกขายในจังหวะทำกำไรหรือไม่ โดยค่าของดัชนีที่สูงกว่า 1 หมายถึงผู้ถือขายเหรียญด้วยกำไร ส่วนค่าต่ำกว่า 1 หมายถึงขาดทุน

ขณะนี้ค่า aSOPR อยู่ที่ 1.03 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่นักลงทุนแห่ขายทำกำไรกันอย่างหนัก กล่าวง่าย ๆ คือ แม้ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ “นักเทขายยังไม่ขาย” นั่นหมายความว่า ตลาดยังไม่ได้อยู่ในโหมดฟองสบู่หรือเก็งกำไรหนัก และยังมีพื้นที่ให้ราคาวิ่งต่อได้โดยไม่สะดุดจากแรงขายภายในระยะสั้น

ถัดมา หากเรานำเครื่องมือวิเคราะห์อย่าง Trend-Based Fibonacci Extension มาใช้กับโครงสร้างราคาของ Bitcoin จะพบว่าแนวต้านสำคัญถัดไปอยู่ที่ $127,798 และถ้าทะลุไปได้จริง มีโอกาสแตะ $135,425 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดถัดไปตามโครงสร้างแนวโน้มก่อนหน้า

ในทางกลับกัน หากเกิดการพักฐานหรือเทขายตามมา จุดรับแรกที่ควรจับตาคือบริเวณ $117,109 ซึ่งเป็นจุด breakout เดิมของราคา ส่วนแนวรับสำคัญที่ห้ามหลุดเด็ดขาดคือ $112,699 เพราะหากร่วงต่ำกว่านี้พร้อมกับค่า aSOPR ที่พุ่งขึ้นแบบผิดปกติ นั่นอาจแปลว่า “แรงเทขายจริง” ได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และตลาดอาจเข้าสู่ช่วงพักฐานแบบจริงจัง

แม้หลายปัจจัยจะบ่งชี้ว่า Bitcoin ยังคงมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ก็ต้องยอมรับว่า “แรงต้านทางจิตวิทยา” กำลังใกล้เข้ามาทุกที และหลายคนเริ่มตั้งเป้าทำกำไรในโซน $125,000–$130,000 ซึ่งความผันผวนของราคาอาจเพิ่มสูงขึ้นหากมีการเทขายพร้อมกัน หรือหากมีข่าวร้ายจากฝั่งกฎหมาย เช่น การชะลอพิจารณาร่างกฎหมายคริปโตในสหรัฐฯ ระหว่าง Crypto Week

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของโครงสร้างราคา เรายังไม่เห็นการ “divergence” ที่ชัดเจนบน RSI หรือ OBV แต่ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อใด นั่นจะเป็นสัญญาณเตือนแรก ๆ ว่าตลาดอาจเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงพักตัวอย่างจริงจัง

และถ้ามองให้ลึกกว่านั้นอีกหนึ่งอินดิเคเตอร์สำคัญอย่าง MVRV (Market Value to Realized Value) ก็ยังคงบ่งชี้ว่า ราคาของ Bitcoin ยังไม่ได้เข้าสู่ “โซนฟองสบู่” แบบในรอบปี 2017 หรือ 2021 โดยล่าสุด MVRV ของ Bitcoin ยังอยู่ที่ระดับประมาณ 2.4 เท่านั้น (ข้อมูลล่าสุดจาก Cryptoquant) ซึ่งต่ำกว่าช่วงพีคในอดีตที่ตัวเลขทะยานขึ้นไปแตะระดับ 3.7 – 4.5 ในช่วงตลาดกระทิงเต็มตัว

ค่า MVRV ที่ต่ำกว่า 3 ถือเป็นสัญญาณว่า Bitcoin อาจยัง “ไม่แพงเกินจริง” และยังมีโอกาสเติบโตต่อได้อีก โดยเฉพาะเมื่อแรงซื้อในวัฏจักรขาขึ้นรอบนี้มาจากฝั่งสถาบันการเงินและ ETF ไม่ใช่แค่ FOMO จากรายย่อยแบบรอบที่ผ่าน ๆ มา

ดังนั้นแล้ว ถึงแม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น หรือแรงขายบางส่วนจากนักลงทุนที่ได้กำไรแล้ว แต่ “โครงสร้างขาขึ้น” ของตลาดในรอบนี้ยังไม่แสดงสัญญาณการจบลงแต่อย่างใด  และตราบใดที่นักลงทุนยังเชื่อมั่นใน Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกของระบบการเงินยุคใหม่ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ รวมถึงการที่ราคาจะ ทะลุ $1,000,000 ได้ในสักวันหนึ่ง

การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงและอาจสูญเงินได้ทั้งจำนวน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้พร้อมก่อนเริ่มการลงทุน

ที่มา : Beincrypto