CoinDCX แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีของอินเดีย ได้ประกาศความพยายามในการกู้คืนสินทรัพย์หลังจากตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าถึง 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทได้ประกาศตั้งรางวัลนำจับสำหรับ “แฮกเกอร์สายขาว” (White Hat Hackers) ที่สามารถช่วยติดตามและนำเงินที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาได้
การโจมตีครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่บัญชีภายในของ CoinDCX ที่ใช้สำหรับ “การจัดหาสภาพคล่อง” (liquidity provision) อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ยืนยันว่าเงินทุนของผู้ใช้งานไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพื่อเป็นการกู้คืนสินทรัพย์ที่ถูกขโมยไป Sumit Gupta ซีอีโอของ CoinDCX ได้ประกาศโปรแกรมตั้งรางวัลนำจับใหม่ ซึ่งเสนอส่วนแบ่งสูงถึง 25% ของเงินทุนที่กู้คืนมาได้ให้กับแฮกเกอร์สายขาวที่สามารถช่วยติดตามและนำเงินกลับคืนมา “ความเสียหายนี้มาจากเงินสำรองของเราเอง และเราได้ดูดซับความเสียหายนั้นผ่านคลังของบริษัทไปแล้ว” Sumit Gupta กล่าวผ่านโพสต์บน X เมื่อวันจันทร์ “สิ่งที่สำคัญสำหรับเรายิ่งกว่าการได้เงินคืน คือการระบุตัวตนและจับกุมผู้โจมตี เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะกับเราหรือกับใครในอุตสาหกรรม” เขาย้ำว่าเหตุการณ์นี้ “ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อลูกค้าของเรา และแพลตฟอร์มยังคงทำงานเป็นปกติ”
เหตุการณ์แฮก CoinDCX เกิดขึ้นในขณะที่อุตสาหกรรมยังคงจดจำเหตุการณ์ที่แฮกเกอร์นิรนามขโมยเงินกว่า 230 ล้านดอลลาร์ไปจาก WazirX ซึ่งเป็น Exchange ของอินเดียเช่นกัน ในปี 2024 แต่ถึงกระนั้น การโจมตีเหล่านี้ก็ยังถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการแฮกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ Bybit ต้องเผชิญเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งสร้างความเสียหายไปกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์
Michael Pearl รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ของ Cyvers บริษัทด้านความปลอดภัยบล็อกเชน ให้ความเห็นว่า การแฮก CoinDCX เป็นส่วนหนึ่งของ “คลื่นการโจมตีระลอกใหม่” ที่พุ่งเป้ามายังแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (CEX) นอกจากนี้ เขายังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์แฮกที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้เป็น “เครื่องย้ำเตือนที่ชัดเจนว่าแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีที่ซับซ้อน” “เฉพาะในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 เพียงไตรมาสเดียว ความสูญเสียกว่า 65% ในโลก Web3 เกิดจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ CEX โดยมีการสูญเสียเกือบ 500 ล้านดอลลาร์จากการเจาะเข้าถึงวอลเล็ต” เขากล่าว “นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่มันคือจุดอ่อนเชิงระบบ” Michael Pearl ได้เรียกร้องให้ Exchange ต่างๆ ทบทวนมาตรการความปลอดภัยและหันมาใช้โซลูชันเชิงป้องกัน เช่น การตรวจสอบวอลเล็ตแบบเรียลไทม์ ซึ่งเขากล่าวว่าสามารถป้องกันการแฮกและสแกมได้ถึง 99%
ที่มา: cointelegraph