David Bailey ผู้ประกอบการและผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากผู้ที่เคยกังขาในคริปโตให้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนอย่างเต็มตัว กำลังเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากความสำเร็จดังกล่าวอย่างงดงาม โดยกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขา 210k Capital ได้สร้างผลตอบแทนสุทธิอย่างมหาศาลถึง 640% ในรอบ 12 เดือนสิ้นสุด ณ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้มีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการเข้าลงทุนในบริษัทมหาชนที่นำ Bitcoin เข้ามาเป็นสินทรัพย์หลักในคลัง (Bitcoin treasury) แม้ว่า 210k Capital จะเป็นบริษัทเอกชนและไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน แต่แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุว่าความมั่งคั่งของกองทุนมาจากการลงทุนในบริษัทลักษณะนี้ในหลายประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย และสวีเดน โดยบริษัทแม่ของกองทุนอย่าง UTXO Management ได้เปิดเผยว่ามีการเข้าลงทุนในบริษัทที่เชื่อมโยงกับ Bitcoin หลายแห่ง ซึ่งรวมถึง Strategy (MSTR), Metaplanet (3350) และ The Blockchain Group (ALTBG)
David Bailey ผู้ก่อตั้ง Bitcoin Magazine และ BTC Inc. ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านคริปโตคนสำคัญให้กับแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ และได้รับการยอมรับว่าเป็น “สถาปนิกหลัก” ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์มาสู่การสนับสนุน Bitcoin อย่างเต็มตัว ความสำเร็จของกองทุนของเขาจึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงผลกระทบที่นโยบายที่เป็นใจสามารถมีต่อภาคส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลได้

โมเดลการนำ Bitcoin เข้าคลังนี้ ซึ่งบุกเบิกโดย MicroStrategy ของ Michael Saylor ตั้งแต่ปี 2020 ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีบริษัทกว่า 150 แห่งที่ดำเนินรอยตามกลยุทธ์ดังกล่าว กลยุทธ์นี้ให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในปี 2025 ท่ามกลางการที่ราคา Bitcoin พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับอนาคตในระยะยาวของบริษัทเหล่านี้ บริษัทร่วมทุน Breed ได้ออกมาเตือนว่าความสำเร็จของบริษัทเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการรักษามูลค่าตลาดให้สูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ หากราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็อาจทำให้เกิด “วงจรหายนะ” ที่บริษัทไม่สามารถระดมทุนเพิ่มและถูกบีบให้ต้องเทขาย Bitcoin ออกมาได้
ขณะที่ James Check นักวิเคราะห์จาก Glassnode ก็ได้ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า บริษัทที่กระโดดเข้ามาในกระแสนี้โดยไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในระยะยาวจะประสบปัญหาในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน “ผมคิดว่าเราใกล้จะถึงช่วง ‘พิสูจน์ตัวเอง’ แล้ว ซึ่งมันจะยากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับบริษัททั่วไปที่จะรักษามูลค่าของตนเองไว้ได้หากไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจน” เขากล่าวผ่าน X แต่ถึงกระนั้น กระแสการยอมรับ Bitcoin ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งต่อวิวัฒนาการของอุตสาหกรรม หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรที่ควบคุมโดยพรรครีพับลิกันเพิ่งผ่านร่างกฎหมายคริปโตที่สำคัญถึง 3 ฉบับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ที่มา: cointelegraph

