<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

จำนวนกระเป๋า Bitcoin  ที่ซื้ออย่างเดียว ไม่เคยขาย พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ ทำไมถึงต้องจับตา?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ศรัทธาในตัวของบิทคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทางออกในการรับมือปัญหาเงินเฟ้อเสียมูลค่า ซึ่งดูเหมือนว่าแม้วันเวลาจะผ่านลุล่วงมาถึงปี 2025 แล้วแต่ศรัทธานั้น ยังคงแข็งแกร่ง และดูเหมือนจะทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ตามปกติแล้ว นักลงทุนบางกลุ่มจะเลือกใช้กลยุทธ์ซื้อแล้วถือยาว แต่ก็มีนักลงทุนอีกกลุ่มที่เข้าซื้ออย่างเดียวไม่มีขายออกไปเลย  (accumulator addresses) และดูเหมือนว่านักลงทุนกลุ่มนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

รายงานจาก Cryptoquant บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลเปิดเผยว่า ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 5 กันยายน) นักลงทุนกลุ่มนี้มีการถือครอง Bitcoin แล้วกว่า 266,000 BTC หรือคิดเป็น 1.2% ของอุปทานทั้งหมด ซึ่งการจำแนกที่อยู่ประเภทดังกล่าว หลักๆ เลยก็คือ ที่อยู่กระเป๋าเงินเหล่านี้จะต้องไม่มีการโอนขายบิทคอยน์  ในขณะที่จะต้องมีการซื้อบิทคอยน์มากกว่าสองครั้งขึ้นไป 

แม้ตัวเลข 1.2% จะดูเหมือนยังน้อย แต่มันก็เป็นสัญญาณว่า ผู้คนได้เริ่มตระหนักรู้และลงทุนในบิทคอยน์ในรูปแบบของการออมระยะยาว เพื่อรักษามูลค่ามากกว่าใช้เป็นเครื่องมือในการเทรดระยะสั้น เช่นเดียวกันกับ บรรดาบริษัทที่มีการตั้งทุนสำรอง Bitcoin มากขึ้น ที่ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ Galaxy Digital ได้ออกมาเตือนถึงวิกฤตที่น่าเป็นห่วงของบิทคอยน์ จริงอยู่ที่การถูกยอมรับเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็บรักษามูลค่าเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาที่ตามมาคือการนำ Bitcoin มาใช้งานจริง ๆ เห็นได้จากอัตราการเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

พวกเขาชี้ว่า นับตั้งแต่การ Halving ครั้งล่าสุด และความต้องการใน Oridinals/Runes สลายหายไป การแข่งขันภายในเครือข่ายได้เบาบางลงอย่างมาก เห็นได้จากพื้นที่บล็อกที่ลดลงมาเกือบ 15% แม้สิ่งนี้จะทำให้ผู้ใช้จ่ายค่าธรรมเนียมน้อยลง แต่เหล่านักขุดกลับไม่ชอบใจ เพราะมีอัตราผลตอบแทนและแรงจูงใจที่ลดลง ซึ่งจะกลายมาเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเครือข่าย

สุดท้ายนี้ Galaxy เน้นย้ำว่ากิจกรรมของธุรกรรมต่าง ๆ ในขณะนี้ได้ถูกย้ายไปยัง ETFs หรือ Layer1 ที่เร็วกว่าอย่าง Solana ทำให้ตอนนี้บิทคอยน์มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็น “บล็อกเชนที่ไม่มีการใช้งานเกิดขึ้นจริง” และจะทำให้ความยั่งยืนของเครือข่ายในอนาคตไม่มั่นคง

ที่มา : Cryptopotato