<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

วิธีหาเงินจาก Funding Fee : เจาะลึกกลยุทธ์ “ฟาร์ม ASTER” ที่ผลตอบแทนสูงถึง 138% ต่อปี !

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกของการเทรดคริปโต การตามหาแหล่งสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ เปรียบเสมือนการหาขุมทรัพย์ยุคใหม่ และหนึ่งในสมรภูมิที่นักลงทุนต่างจับตาคือ การทำ “ฟาร์ม Funding Fee” บนกระดานเทรดฟิวเจอร์สคริปโต โดยเฉพาะเหรียญ ASTER ที่กำลังเป็นกระแสแรง ด้วยอัตรา Funding Fee สูงถึง 0.0631% ทุก ๆ 4 ชั่วโมง หรือเทียบแล้วให้ผลตอบแทนทะลุ 138% ต่อปี ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าผลตอบแทนจาก DeFi และการฟาร์มสภาพคล่องทั่วไปหลายเท่า

แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Funding Fee คืออะไร? และที่หลายคนเรียกกันว่า “การฟาร์ม Funding Fee” จริง ๆ แล้วมันคืออะไร

Funding Fee คือค่าธรรมเนียมที่นักลงทุนฝั่ง Long และ Short ในสัญญาฟิวเจอร์สต้องจ่ายให้กันตามสมดุลของตลาด ถ้าฝั่ง Long เยอะกว่ามาก ก็ต้องจ่าย Funding ให้ฝั่ง Short และในทางกลับกัน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ราคาฟิวเจอร์สไม่เบี่ยงเบนจากราคาตลาด Spot มากเกินไป

ส่วน การฟาร์ม Funding Fee ก็คือการเข้าไปยืนอยู่ใน “ฝั่งที่ได้เปรียบ” ของ Funding Fee โดยใช้กลยุทธ์ถือ Position แบบเฮดจ์ (เช่น เปิด Long ใน Spot แต่เปิด Short ใน Futures) เพื่อให้รับค่า Funding แบบแทบจะไม่เสี่ยงกับความผันผวนของราคา เปรียบเสมือนการปล่อยเงินทำงานและเก็บค่าเช่าออกมาเป็นผลตอบแทน

ปัจจุบัน (วันที่ 2 ต.ค. 68) อัตราค่า Funding Fee ของคู่สัญญา ASTER/ USDT บนแพลตฟอร์ม Aster DEX อยู่ที่ 0.0631% ในทุก ๆ 4 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า ผู้ที่เปิดโพสิชัน Long จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้ที่เปิด Short ในอัตรานี้ไปเรื่อย ๆ หากถือครบหนึ่งวันก็ต้องจ่ายถึง 0.378% ครบหนึ่งเดือนเท่ากับ 11.35% และถ้าถือยาวตลอดหนึ่งปี ตัวเลขนี้จะพุ่งไปถึง 138% เลยทีเดียว

นั่นแปลว่าฝั่งที่เปิด Short จะไม่ได้เป็นคนจ่าย แต่กลับกลายเป็นผู้รับค่า Funding Fee ก้อนนี้เข้ากระเป๋าเต็ม ๆ ตราบใดที่ Funding Fee ยังคงเป็น “บวก” อยู่ แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครอยากเปิด Short แบบตรง ๆ อย่างเดียว เพราะถ้าเหรียญ ASTER ราคาพุ่งขึ้นแรง ก็อาจขาดทุนหนักจากส่วนต่างราคาได้

ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดกลยุทธ์ที่เรียกว่า “การฟาร์ม Funding Fee” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “Delta Neutral” ซึ่งเป็นวิธีล็อกความเสี่ยงด้านราคาเอาไว้ (เช่น ถือเหรียญ Spot ไว้พร้อมกับเปิด Short Futures) ทำให้ไม่ต้องสนใจว่าราคาจะขึ้นหรือลง แต่ยังสามารถเก็บกินค่า Funding Fee ก้อนโตได้อย่างต่อเนื่อง

วิธีทำกำไรจาก Funding Fee แบบเข้าใจง่าย ๆ 

  1. ถือเหรียญจริงในตลาด Spot: ใช้เงินทุนส่วนหนึ่งเพื่อซื้อเหรียญ ASTER ในตลาด Spot
  2. เปิด Short ใน Futures: ใช้เงินทุนที่เหลือเปิดโพสิชัน Short ในตลาด Futures ในจำนวนเท่ากับ 1X ของเหรียญที่คุณถืออยู่

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินลงทุน 10,000 บาท อาจแบ่งเป็น 5,000 บาท ซื้อเหรียญ ASTER ในตลาด Spot และอีก 5,000 บาทเปิด Short 1X ในตลาด Futures เมื่อราคาขึ้นหรือลง ทั้งสองโพสิชันจะหักลบกันพอดี ทำให้คุณไม่ต้องกังวลกับทิศทางราคา แต่ยังคงได้รับค่า Funding Fee จากฝั่ง Short อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 138% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนที่ดูหวือหวาสูงถึง 138% ต่อปี อาจไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เนื่องจาก Funding Fee เป็นตัวเลขที่ผันแปรตามสภาวะตลาด หากวันหนึ่งแรงซื้อ–ขายเปลี่ยนสมดุลไป ค่า Funding Fee อาจลดลงอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่กลับทิศเป็น “ลบ” ได้ทันที ซึ่งหมายความว่าแทนที่จะเป็นฝ่ายได้รับผลตอบแทน คุณอาจต้องกลายเป็นคนจ่ายแทน ดังนั้นการฟาร์มแบบนี้จึงต้องอาศัยการติดตามและปรับกลยุทธ์อย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ

สุดท้ายนี้ การฟาร์ม Funding Fee อาจไม่ใช่สูตรวิเศษที่ใช้ได้ตลอดไป แต่ในจังหวะที่ถูกต้องและวางแผนรอบคอบ มันอาจกลายเป็น “ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่” สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนเหนือกว่าการซื้อขายเหรียญคริปโตแบบทั่ว ๆ ไป

ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง