สถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐอเมริกาที่ยังคงไร้วี่แววว่าจะสิ้นสุดลง อาจกำลังเดินทางมาถึง “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ในสัปดาห์นี้
มีปัจจัยเร่งหลายอย่างที่อาจบีบให้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต้องหันหน้ามาเจรจากัน ไม่ว่าจะเป็น ความกลัวว่าน่านฟ้าสหรัฐฯ อาจจะต้องปิดทำการ กระทบต่อการเดินทางทางอากาศ โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร (Food Aid) ที่จะได้รับเงินทุนเพียงบางส่วน และอาจล่าช้าออกไป “หลายสัปดาห์หรือหลายเดือน” รวมถึงผลการเลือกตั้งในวันอังคารนี้ที่เวอร์จิเนียและนิวเจอร์ซีย์
หากปัจจัยเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำลายภาวะทางตัน ความโกลาหลในการเดินทางช่วงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า อาจเป็นแรงกดดันสุดท้ายที่จะบีบให้สภาคองเกรสต้องยอมตกลงกัน
จับตาศาลฎีกา-ชี้ชะตากำแพงภาษีทรัมป์
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้ คือการที่ศาลฎีกาจะเริ่มรับฟังข้อโต้แย้งในคดีเกี่ยวกับกำแพงภาษีส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันพุธ ฮอลลี ฟรูม (Holly Froum) นักวิเคราะห์ ประเมินว่ามีโอกาสถึง 60% ที่ศาลฎีกาจะตัดสินว่ากำแพงภาษีเหล่านั้น “ผิดกฎหมาย”
ที่น่าสนใจคือ แม้รัฐบาลจะ Shutdown แต่ข้อมูลหนึ่งที่ยังคงถูกรายงานอย่างชัดเจนคือ “รายได้จากภาษีศุลกากร” ซึ่งในเดือนตุลาคมเพียงเดือนเดียว รัฐบาลทรัมป์สามารถเก็บภาษีส่วนนี้ได้สูงถึง 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่ในขณะที่รัฐบาลกำลังเพลิดเพลินกับรายได้นี้ ศาลฎีกาก็กำลังจะตัดสินในวันพุธนี้ว่ารายได้ก้อนโตนี้ (ซึ่งมาจากภาษีที่อิงตามอำนาจฉุกเฉิน) ถูกกฎหมายหรือไม่
ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- อาหารช่วยเหลือเหลือ 50% รัฐบาลทรัมป์แจ้งต่อผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้ทุนสนับสนุนโครงการช่วยเหลือด้านอาหารของสหรัฐฯ ระหว่างการ Shutdown แต่จะให้ทุนเพียง 50% ของจำนวนเงินที่ครัวเรือนที่มีสิทธิ์ควรจะได้รับตามปกติ
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่ากังวล สัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจเริ่มดังขึ้น เมื่อสัดส่วนผู้บริโภคในกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Subprime) ได้กลับไปสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด และกิจกรรมในภาคโรงงานของสหรัฐฯ ก็หดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน
- ทรัมป์ ‘ล้างบาง’ ผู้เชี่ยวชาญ รัฐบาลทรัมป์ได้ยุบคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญประมาณ 160 คณะทั่วทั้งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการ “กวาดล้าง” คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสามทศวรรษ
ที่มา: bloomberg

